รีวิว : NISSAN JUKE ” นิสสัน จู๊ค ” แบบ One Day Trip ในเส้นทาง กรุงเทพฯ – ราชบุรี

หลังจากเปิดตัว ” นิสสัน จู๊ค” ( NISSAN Juke ) เมื่อปีที่แล้ว ก็สร้างความฮือฮาให้กลุ่มผู้บริโภคที่ “รักความแตกต่างอย่างมีสไตล์” อย่างท่วมท้น แค่งานมอเตอร์เอ็กโปรปีที่ผ่านมารุ่นเดียวก็สร้างยอดขายเฉลี่ยวันละ 300 คัน รวมทั้งประเทศถึงขณะนี้ยอดจองประมาณ 5,000 กว่าคัน และตอนนี้ส่งมอบไปแล้วประมาณพันคัน ส่วนยอดจองที่เหลือจะส่งมอบได้ทั้งหมดประมาณเดือนมีนาคมนี้ จึงเป็นรถอีกรุ่นที่ผมเฝ้ารอการทดสอบ และโอกาสนี้ก็มาถึง บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงมีการจัดการทดสอบแบบ One Day Trip ในเส้นทาง กรุงเทพฯ – ราชบุรี

 

ออกแบบภายใต้แนวคิด “Born to excite”

” นิสสัน จู๊ค” ( NISSAN Juke ) รถยนต์ แบบสปอร์ตครอสโอเวอร์ ที่ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Born to excite” ฉีกทุกกฏเกณฑ์ของการดีไซน์ ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ดุดันและกลมกลืน สะกดทุกสายตา ถือเป็นรถยนต์อีกหนึ่งคันที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการเป็นอย่างมาก แต่ก่อนหน้านี้มักจะเป็นแค่รถในฝันเนื่องจาก “เกย์มาเก็ต” นำเข้ามาจำหน่ายในราคาราวๆ 1.5 – 1.6 ล้าน แถมยังไม่มีศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานเข้ามารองรับ ทำให้ผู้บริโภคยังไม่กล้าตัดสินใจเป็นเจ้าของ แต่ในปัจจุบันนิสสันประเทศไทยสามารถทำราคาลดลงเกือบครึ่ง พร้อมมีศูนย์บริการทั่วประเทศ จึงไม่ยากเลยที่จะมียอดขายที่สูงอย่างต่อเนื่อง จุดสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเลือก ” นิสสัน จู๊ค” ( NISSAN Juke ) คือ การดีไซน์ที่แตกต่างในรูปลักษณ์ของ “สปอร์ตครอสโอเวอร์” ที่นำข้อดีขอรถครอสโอเวอร์มาบวกการดีไซน์แบบสปอร์ตเพื่อให้มีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวขึ้น แต่งเติมด้วยการวางไฟหน้าทรงกลมที่กันชนหน้า แยกกับโคมไฟเลี้ยวที่ขนานกับแนวฝากระโปรง มือเปิดประตูบานหลังที่เรียบเนียนไปกับตัวรถในตำแหน่งเสา C ด้านท้ายอาศัยมนเสน่ห์ของไฟท้ายที่คล้ายกับ 370 Z และยกระดับความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์หลังแนวใหม่

 

การดีไซน์ภายใน

การดีไซน์ภายในรุ่น E และรุ่น V จะใช้สีที่ต่างกัน คันที่ผมทดสอบเป็นรุ่น 1.6V หรือตัว TOP นั่นเอง ซึ่งคุมโทนด้วยสีดำสลับการตกแต่งด้วยสีแดง ตัวคอนโซลหน้าถูกดีไซน์ให้โค้งเว้าคล้ายกับการดีไซน์ด้านหน้ารถ ส่วนเบาะนั่งดีไซน์ในแบบสปอร์ตพร้อมหุ้มด้วยหนังอย่างดี แต่ความโดดเด่นที่ผมอยากแนะนำ คือ ระบบควบคุมการทำงานอัจฉริยะ I-Con (Integrated-Control System) ซึ่งระบบจะแสดงผลเป็นแบบ Dual Layer LED ที่นอกเหนือจากการควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร (Climate Mode) ยังมีโหมดควบคุมรูปแบบการขับขี่ (Drive Mode) ภายในจอเดียวกัน ซึ่งในโหมดควบคุมรูปแบบการขับขี่สามารถเลือกปรับได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode) เน้นขับสนุกเต็มสปีด เร่งแซง ได้รวดเร็วทันใจ โดยระบบจะควบคุมการเปิดลิ้นปีกผีเสื้อให้มากขึ้น ผสานการทำงานที่สูงขึ้นของรอบเกียร์ เพื่อตอบสนองการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นและ โหมดการขับขี่แบบประหยัด (Eco Mode) เน้นการขับขี่ที่ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด โดยระบบจะควบคุมการเปิดลิ้นปีกผีเสื้อ และรอบเกียร์ ให้เหมาะสม อีกทั้งยังควบคุมการไหลเวียนอากาศภายในห้องโดยสารให้เหมาะสม ลดภาระการทำงานของพัดลมแอร์ เพื่อการประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น แต่ที่ประทับใจในความรู้สึกผม คงเป็นระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและความบันเทิง I-Connect บนหน้าจอสัมผัสแบบพกพาขนาด 7 นิ้ว ซึ่งถอดออกจากแผงหน้าจอหลักได้เพื่อการใช้งานที่สะดวกมากขึ้น เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยสัญญาณ WIFI ผ่านอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS หรือแอนดรอยด์ สามารถชมและแชร์ไฟล์ภาพ เพลง วิดีโอ บนหน้าจอเมื่อใช้ Micro SD Card/USB หรือเชื่อมต่อระบบปฏิบัติการ iOS หรือแอนดรอยด์ผ่านระบบ DLNA พร้อมฟังเพลงหรือโทรออก-รับสายเรียกเข้าได้อย่างปลอดภัยขณะขับรถเมื่อเชื่อมต่อด้วยบลูทูธ สะดวกสบายทุกการใช้งานด้วยระบบสั่งการเมนูหลักด้วยเสียง Voice Recognition พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัย คือ เอาง่ายๆ นะครับ เราสามารถนำจอมือถือของเรา ออกมาแสดงที่จอแบบ 7 นิ้วได้ทุกอย่างเลยครับ

 

เครื่องยนต์

ในส่วนของเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว 116 แรงม้าที่มาพร้อมระบบหัวฉีดคู่ (Dual Injector System) ผสานการทำงานระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC และระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ Xtronic CVT จริงๆ เครื่องยนต์ตัวนี้ผมเคยรู้สึกประทับใจมาแล้วในการทดสอบขับ Nissan Sylphy เนื่องจากเป็นเครื่องบล็อคด้วยกัน เครื่องยนต์ตัวนี้เสน่ห์อยู่ตรงความประหยัดผมเคยขับไปพัทยาความเร็วเฉลี่ยประมาณ 90 กม./ชม. อัตราเชื้อเพลิงอยู่ราว 30 กม./ลิตร ซึ่งประหยัดมากๆ แต่ในเครื่องยนต์บล็อคในมีการใส่ Mode การทำงานเข้าไปอีก 3 แบบ Normal Sport และ Eco ทำให้ตรงกับความต้องการในเรื่องของการใช้งานได้มากขึ้นไปอีก จากที่ผมลองสมรรถนะใน Mode Sport ที่เป็น Mode ที่เรียกสมรรถนะความแรงสูงสุดของรถออกมาถือว่าอัตราเร่งอยู่ในระดับที่พอตัว เรื่องการเร่งแซงในสถานการณ์ต่างๆ แม้แต่ทางขึ้นเขาก็ตาม ถือว่าหายห่วง ส่วนระบบเกียร์ Xtronic CVT ยังคงความราบรื่นในจังหวะการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ แต่ในตัวนี้มีดีเพิ่มขึ้นมา ในการเปลี่ยนตำแหน่งลงของเกียร์ สามารถทำให้ระบบ Engine Brake ในการเบรกหรือการเข้าโค้งต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น

 

ระบบช่วงล่าง

สภาพถนนในการทดสอบมีลักษณะคดเคี้ยวประมาณ 40 กม. ผมจึงลองทดสอบการควบคุม และระบบช่วงล่างแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท และทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลงที่ทำงานผสานกับพวงมาลัยเพาเวอร์ที่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามความเร็ว ของรถ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงล่างที่วางใจได้ แต่ในส่วนของการแปรผันของน้ำหนักพวงมาลัยสำหรับตัวผมในความเร็วสูงยังถือว่าเบามาก ทำให้การเข้าโค้งในความเร็วสูงๆ รู้สึกหวิวๆ อยู่บ้างครับ

 

 

สุดท้ายขอบคุณบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ iAMCAR สัมผัสนวัตกรรมดีๆ เช่นนี้เสมอมา ส่วน ” นิสสัน จู๊ค” ( NISSAN Juke )  มีจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น 1.6E ราคา 819,000 และรุ่น1.6V ราคา 858,000 บาท มีให้เลือก 6 สี คือ สีแดงเบิร์นนิ่งเรด สีน้ำเงินแปซิฟิคบลู สีดำแบล็คโซลิด สีขาวไวท์โซลิด สีเทาทไวไลท์เกรย์ และสีเงิน บริลเลียนท์ซิลเวอร์ หาชมและทดลองขับได้ทุกโชว์รูมนิสสันครับ

 

แท็กยี่ห้อรถยนต์ : Nissan

แท็กฮิต : , , , ,