BMW Engine…12 บล็อก ที่ว่า “เด็ดสุด” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

หากเราจะถามหาเครื่องยนต์บล็อกที่ เด็ดสุด ของเครื่องยนต์ของบีเอ็มดับเบิ้ลยู คำตอบคงมีมากมาย ตามความชอบ ตามความรู้สึกของสาวก BMW ทั่วโลก แต่ใน BMW.com ได้ตกผลึกทางความคิด ความเห็น ข้อมูลเชิงประจักษ์ต่างๆ อย่างรอบคอบ ลึกซึ้ง ไม่เพียงเฉพาะบล็อกเครื่องยนต์ในรถยนต์เท่านั้น แต่มันคือ เครื่องยนต์ (Engine) ทุกประเภท ที่ BMW ได้รังสรรค์ปั้นแต่ง มาตั้งแต่ก่อตั้งจวบจนปัจจุบัน…รวบรวมออกมาเป็น 12 บล็อกเครื่องยนต์ ที่เห็นตรงกันแล้วว่า เด็ดที่สุด

แรกเริ่มเดิมที โรงงาน BMW ได้ถูกก่อตั้งขึ้น เพื่อผลิตเครื่องยนต์ให้กับเครื่องบินรบในกองทัพเยอรมัน ในช่วงปลายสมัยของสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากนั้นไม่นาน เยอรมันพ่ายแพ้สงคราม จึงได้หันมาสร้าง และพัฒนาเครื่องยนต์ให้กับยานยนต์ในรูปแบบอื่นๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า BMW คือผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง

สอดคล้องกับอักษรตรงกลางของชื่อ BMW โดยอักษร M นั้น มาจากคำว่า Motoren (โมโทเริ่น) ในภาษาเยอรมัน ซึ่งก็คือ เครื่องยนต์ หรือคำว่า Motor ในภาษาอังกฤษนั่นเอง และสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความชำนาญด้านเทคโนยีของเครื่องยนต์ในยานยนต์หลากหลายรูปแบบทั้งเครื่องบิน รถจักรยานยนต์ และรถยนต์ มานานหลายทศวรรษ…และนี่คือ 12 เครื่องยนต์ที่ BMW.com ได้เลือกมาแล้วว่ามีความสุดยอด

 

1. เครื่องยนต์เครื่องบินแบบ 6 สูบ แถวเรียง BMW llla (ปี 1917)

“พลังแห่งการขับเคลื่อนอันเร้าใจ” คือนิยามของ BMW ไม่ว่าจะเป็นรถสองล้ออย่างมอเตอร์ไซค์ และสี่ล้ออย่างรถยนต์ แต่ในช่วงแรกเริ่มการก่อตั้งบริษัท ต้องใช้คำว่า “พลังแห่งการบินอันเร้าใจ” โดยทีมวิศวกรได้พัฒนาเครื่องยนต์แบบแรกขึ้นในปี 1917 ซึ่งก็คือ เครื่องยนต์เครื่องบิน BMW llla มีจุดเด่นในเรื่องของดีไซน์ และสมรรถนะอันยอดเยี่ยมระดับความสูงเหนือเมฆ จากนั้นเครื่องยนต์ Motor IV ได้รับการพัฒนาจนสามารถบินได้สูงสุดที่ระดับ 32,021 ฟุต หรือ 9,760 เมตร ได้ในปี 1919 ด้วยนวัตกรรม และการประกอบเครื่องยนต์ที่มีคุณภาพ จึงทำให้ BMW ครองความเป็นผู้นำได้ตั้งแต่ต้น

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์แบบ 6 สูบ แถวเรียง คาบูเรเตอร์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 1,163 ลูกบาสก์นิ้ว ( 19.1 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 140 kW (185 แรงม้า)

 

2. เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ BMW R5 แบบ 2 สูบ บ็อกเซอร์ (ปี 1936)

ทุกวันนี้ผู้ที่ชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์ ยังคงรู้สึกชื่นชมเมื่อกล่าวถึง BMW R5 ด้วยเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ 2 สูบ ขนาด 500 ซีซี ให้กำลังถึง 24 แรงม้า จัดจ้านไม่เบาในยุคนั้น โดดเด่นด้วยวาวล์ควบคุมเพลาลูกเบี้ยวคู่ เจ้า R5 สร้างชื่อได้อย่างรวดเร็ว มีความแข็งแรง และน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ R5 ยังเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เปลี่ยนเกียร์ด้วย เท้า ซึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่ในยุคนั้น จนกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของมอเตอร์ไซค์จนทุกวันนี้ หากไม่เจ๋งจริง รูปแบบของเครื่องยนต์ และฝาครอบวาล์ว คงจะไม่ถูกถ่ายทอดไปยัง BMW R18 เป็นแน่แท้

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์แบบ 2 สูบ บ็อกเซอร์
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 30.5 ลูกบาสก์นิ้ว (0.5 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 18 kW (24 แรงม้า)

3. เครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง ใน BMW 328 (ปี 1936)

เครื่องนยนต์ระดับตำนานของ BMW 328 สร้างชื่อเสียงให้กับ BMW จากการที่เครื่องยนต์ในรถเยอรมันถูกกล่าวขานว่า แรง ดุดัน โดยเครื่องยนต์ 6 สูบที่ใช้ในรถ BMW 326 เมื่อปี 1936 เป็นตัวอย่างอันเด่นชัดในเรื่องนี้ ด้วยความทันสมัยในยุคนั้นกับฝาสูบอลูมินั่ม จึงสร้างพละกำลังได้ถึง 80 แรงม้า ใน BMW 328 และยังสามารถลากรอบไปได้ถึง 5,000 รอบ/นาทีเลยทีเดียว จากการขับเคลื่อนล้อหลัง และน้ำหนักตัวที่เบาเพียง 1,800 ปอนด์ (800 กก.) จึงไม่แปลกใจว่า BMW 328 เป็นรถสปอร์ตอย่างแท้จริง แม้จะล่วงเลยมากว่า 80 ปีแล้วก็ตาม

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์แบบ 6 สูบ แถวเรียง
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 122 ลูกบาสก์นิ้ว (2.0 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 59 kW (80 แรงม้า)

 

4. เครื่องยนต์ V8 ใน BMW 502 (ปี 1954)

จากสัดส่วนอันโค้งมน อ่อนช้อย BMW 502 จึงถูกขนานนามว่า Baroque Angel หรือเทพีแห่งยุคบาโรค แต่หาใช่ล้าสมัยตามยุค เพราะขณะนั้น เครื่องยนต์ V8 ถูกผลิตด้วยอลูมินั่นอัลลอย และเป็นเครื่องยนต์เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมเป็นอย่างมากในเวลานั้น รวมถึงมีการใช้ หม้อลมเบรก คลัทช์น้ำมัน และดิสก์เบรก ซึ่งภายหลังเจ้าดิสก์เบรกได้กลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์ BMW ซึ่งรัฐบาลเยอรมันประทับกับสมรรถนะของเจ้า 502 นี้ จึงได้ใช้ BMW 502 เป็นรถยนต์ของตำรวจ และหน่วยดับเพลิง

รูปแบบเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์แบบ V8 สูบ จ่ายเชื้อเพลงด้วยคาร์บูเรเตอร์
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 158.7 ลูกบาสก์นิ้ว ( 2.6 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 74 kW ( 100 แรงม้า)

 

5. เครื่องยนต์ 4 สูบ เทอร์โบ ใน BMW 2002 Turbo (E20) ปี 1973

เครื่องยนต์เทอร์โบ เมื่อ 50 ปีที่แล้ว คงหายากพอๆ กับเกียร์ธรรมดา 4 สปีดสมัยนี้ รวมไปถึงบางวลีเด็ดในยุคนั้นเช่น “เทอร์โบมา น้ำมันหาย” หรือ “วินาทีอันน่าระทึกของเทอร์โบ” (แม้ว่าจะมีอาการรอก่อนเทอร์โบเริ่มทำงานก็ตาม) แต่สิ่งเหล่านี้ก็ได้หายไปจากวิวัฒนาการทางด้านยานยนต์ เครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร ในปี 1973 สามารถสร้างพละกำลังอย่างเหลือเชื่อได้ถึง 70 แรงม้า ส่งผลให้ BMW 2002 Turbo ขึ้นทำเนียบรถสปอร์ตได้ไม่ยาก ด้วยความเร็วสูงสุด 131 ไมล์/ชม.( 211 กม./ชม.) และ BMW 2002 Turbo ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกของยุโรปที่มีเทอร์โบชาร์จเจอร์จากโรงงาน โดยทุกวันนี้เทอร์โบชาร์จเจอร์คือเทคโนโลยีชิ้นสำคัญที่สร้างสมรรถนะให้กับเครื่องยนต์

รูปแบบเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 122 ลูกบาสก์นิ้ว ( 2.0 ลิตร)
  • กำละงสูงสุด 125 kW ( 170 แรงม้า)

 

6. เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง ในรถแข่ง BMW 3.0 CSL coupe ( ปี 1974)

ระบบ multi – valve เริ่มเป็นที่นิยมในช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยเทคโนโลยี 4 วาล์วจากสนามแข่ง ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ทั่วไปมากขึ้น ทำให้ได้กำลังมากขึ้น เฉกเช่นเครื่องยนต์ระดับตำนานใน BMW 3.0 CSL racing coupe ปี 1974 ขณะที่รถทั่วไปรุ่นนี้จะมีกำลังอยู่ที่ 206 แรงม้า ส่วนเวอร์ชั่นรถแข่งทะลุไปถึง 440 แรงม้า ยกความดีความชอบให้กับระบบ 4 วาล์วต่อสูบ ขนาดความจุ 3.5 ลิตร ซึ่งเครื่องยนต์แบบ multi – valve ได้กลายมาเป็นพื้นฐานของเครื่องยนต์ในปัจจุบัน

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 122 ลูกบาสก์นิ้ว ( 2.0 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 125 kW ( 170 แรงม้า)

 

7. เครื่องยนต์ 4 สูบ เทอร์โบ ของรถแข่ง BMW Formula 1 ( ปี 1983)

จะทำอย่างไรให้เครื่องยนต์คงความแรง เมื่อต้องลดขนาดเครื่องยนต์เหลือเพียง 1.5 ลิตร สำหรับเครื่องยนต์ BMW ที่ใช้แข่งฟอร์มูล่า 1 ในยุคทศวรรษ 1980 ในตอนนั้นมีเสียงร่ำลือกันว่า เครื่องยนต์ที่ใช้ฝึกซ้อมนั้น มีกำลังแรงถึง 1,200 แรงม้า เลยทีเดียว นับเป็นความท้าทายของนักแข่ง F1 ในยุคที่ยังไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยคนขับ บ่อยครั้งที่เราได้เห็นเทคโนโลยีจากสนามแข่ง ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ใช้งานทั่วไป จึงไม่มีสิ่งให้ต้องสงสัยว่า การลดขนาดเครื่องยนต์ แต่ยังคงสมรรถนะ และความประหยัด มีที่มาจากสนามแข่งนั่นเอง

รูปแบบเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์ 4 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 92 ลูกบาสก์นิ้ว ( 1.5 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 1,200 แรงม้า (ในรุ่นที่ใช้ซ้อมแข่ง F1)

 

8. เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ใน BMW 524 td (E28) ปี 1983

กว่า 60 ปีที่ได้สรรสร้างเครื่องยนต์มา ถึงเวลาแล้วสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ถูกนำมาติดตั้งในรถยนต์ BMW ซีรีส์ 5 สร้างความประทับใจด้วยขุมพลังอันจัดจ้านในยุคนั้นระดับ 115 แรงม้า และแรงบิดที่ 210 นิวตัน-เมตร ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เครื่องยนต์ดีเซลที่เห็นใช้กับรถบรรทุก และรถแทร็กเตอร์ จะกลายมาเป็นที่ยอมรับในรถยนต์นั่ง และ BMW 524 td ก็ได้กลายมาเป็นผู้นำด้านพละกำลัง ความสะดวกสบาย ความประหยัด และเป็นแม่แบบของเครื่องยนต์สะอาดในทุกวันนี้

รูปแบบเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 135.5 ลูกบาสก์นิ้ว ( 2.4 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 85 kW ( 115 แรงม้า)

 

9. เครื่องยนต์ V12 ใน BMW 750i (E32) ปี 1987

เครื่องยนต์ V12 ในเวลานั้นนับเป็นสิ่งแปลกใหม่ทีเดียว แต่ความเหนือชั้นของเครื่องยนต์ V12 คือให้ทั้งความนิ่งราบเรียบ และเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BMW 750i เป็นหัวหอกที่ใช้เครื่องยนต์แบบ V12 มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สมรรถนะอันเปี่ยมไปด้วยกำลัง และความนิ่งราบเรียบ ของเครื่องยนต์ V12 ถูกแสดงออกมาเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน วัดได้จากเหรียญที่วางอยู่บนเครื่อง ไม่มีตกหล่นตลอดการทำงานของเครื่องยนต์

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์แบบ V12 สูบ
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 305 ลูกบาสก์นิ้ว ( 5.0 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 220 kW ( 300 แรงม้า)

 

10. เครื่องยนต์ V10 ใน BMW M5 (E60) ปี 2004

จากเครื่องยนต์แบบ V12 สูบ มาเป็น V10 สูบ ซึ่งจากความนุ่มสบายกลายมาเป็นความสปอร์ตที่ได้รับจากเครื่องยนต์ตัวนี้ ด้วยขุมพลังระดับ 500 แรงม้าที่ 7,750 รอบ/นาที กับเสียงเครื่องยนต์ที่แผดออกมา ราวกับอยู่ในสนามแข่ง ทว่าอยู่ในร่างรถบ้านอย่าง ซีรีส์ 5 ( เฉพาะ M5) หรือไม่ก็อยู่ใน M6 ตัวถังบอดี้ E63 / E64 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรถฟอร์มูล่า 1 ที่ใช้อยู่ในตอนนั้นที่ใช้เครื่อง V10 สูบเช่นกัน สำหรับเครื่อง V10 สูบนี้ใช้รหัสเครื่องยนต์ S85 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ 10 สูบเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของเครื่องยนต์ BMW

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์แบบ V10 สูบ
  • ความจุกระบอกสูบขนาด 305 ลูกบาสก์นิ้ว ( 5.0 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด 373 kW (507 แรงม้า)

 

11. เครื่องยนต์ไฟฟ้าใน BMW i3 (I01) ปี 2013

BMW i3 ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า เป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า และยังไม่ต้องกังวลกับระยะการใช้งานเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มหนึ่งครั้ง เมื่อสัมผัสกับ BMW i3 เพียงครั้งแรกก็จะรู้สึกสนุกไปกับการขับรถ EV ต้องยกความดีความชอบในเรื่องของอัตราเร่ง ในขณะเดียวกันการชาร์จไฟก็เป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย รวมไปถึงความประหยัดที่มาพร้อมกับสมรรถนะอันเร้าใจ

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์ไฟฟ้า
  • กำลังสูงสุด 125kW (170 แรงม้า)
  • ความจุแบตเตอรี่ 37.9 กิโลวัตต์/ชม.

 

12. เครื่องยนต์ไฮบริดแบบ 3 สูบ และไฟฟ้า ใน BMW i8 (I12) ปี 2014

รถสปอร์ตก็สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ เฉกเช่น BMW i8 ที่ได้พลังขับเคลื่อนแบบไฮบริดจากทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์เบนซิน โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อคู่หน้า ส่วนล้อคู่หลังเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดถึง 362 แรงม้า ด้วยอัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชม.ในเวลาเพียง 5 วินาที แถมโดดเด่นเรื่องความประหยัดเชื้อเพลิง จึงเป็นรถสปอร์ตแห่งศตวรรษที่ 21 ที่นักวิจารณ์ยานยนต์ให้การยอมรับ ซึ่ง BMW i8 PHEV ได้รับรางวัล “Engine of the Year” ในปี 2019 และนับเป็นการเข้าสู่ยุคเครื่องยนต์ไฟฟ้าอย่างยิ่งใหญ่ของ BMW

รูปแบบของเครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์ ความจุกระบอกสูบขนาด 92 ลูกบาสก์นิ้ว (1.5 ลิตร) กำลังสูงสุด 170 kW (231 แรงม้า)
  • มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 96 kW (131 แรงม้า) ความจุแบตเตอรี่ 11.6 กิโลวัตต์/ชม.

 

 

  ** ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.bmw.com สามารถดูภาพประกอบและเนื้อหาฉบับเต็มได้ที่ http://bit.ly/3fnmRky

แท็กยี่ห้อรถยนต์ : BMW

แท็กฮิต : ,