เปิดตัว Lamborghini Huracan Performante ( ลัมบอร์กินี่ ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต ) 2017 Production Car กับการบันทึกสถิติ Nürburgring Nordschleife ที่ 6:52.01 นาที (ชมคลิป)

Automobili Lamborghini นำเสนอ Lamborghini Huracan Performante ( ลัมบอร์กินี่ ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต ) ท่ามกลางงานแสงไฟในงาน Geneva Motor Show ที่ผ่านมา ชูไฮไลต์เด่นสำคัญๆ เช่น เทคโนโลยีการลดน้ำหนัก, การยกระดับด้านอากาศพลศาสตร์, โครงสร้างตัวถังที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ลงตัวกับสมรรถนะมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดได้รับการพิสูจน์ความยอดเยี่ยมแล้ว ในฐานะของรถ Production Car ที่บันทึกสถิติบน Nürburgring Nordschleife เอาไว้ที่ 6:52.01 นาที

เผย “ความลับ” แห่งการอัพเกรดสมรรถนะ

Lamborghini Huracan Performante ( ลัมบอร์กินี่ ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต ) คือ ยนตรกรรมที่ถูก “รื้อ” เพื่อปรับแต่งใหม่ตั้งแต่ส่วนในสุด เช่น โครงสร้างตัวถังที่มากับวิศวกรรมการลดน้ำหนัก (Lightweight Engineering) โดยใช้วัสดุผสม อาทิ อลูมิเนียมผสม (Hybrid Aluminum) และคาร์บอน ไฟเบอร์ (Carbon Fiber) รวมถึงวัสดุน้ำหนักเบาอย่าง Forged Composite ในส่วนของ สปอยเลอร์ด้านหน้า และหลัง, ฝาครอบเครื่องยนต์, กันชนหลัง และ Aerodynamic Diffuser ซึ่งช่วยให้ลดน้ำหนักส่วนเกินลงได้ถึง 40 กก.

 

Lamborghini Huracan Performante

 

ส่วนต่อมา “อากาศพลศาสตร์” ซึ่งทาง Lamborghini ได้อัพเกรดขึ้นใหม่เป็นแบบ Active Aerodynamics หรือในภาษาอิตาลีเรียกว่า Aerodinamica Lamborghini Attiva (ALA) ที่ปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อเวอร์ชั่น Performante โดยเฉพาะ เพื่อสร้างศักยภาพแรงกดขั้นสูง High Down Force หรือการลดแรงเสียดทานอากาศในระดับต่ำสุด

 

โดยใช้เครื่องตรวจวัดพิเศษที่เรียกว่า Lamborghini’s Piattaforma Inerziale (LPI) ทำหน้าที่ควบคุมระบบไฟฟ้าทั้งหมดของตัวรถแบบ Real Time ทำงานร่วมกับระบบ ALA ที่ติดตั้งอยู่บริเวณสปอยเลอร์ด้านหน้า โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าควบคุมการเปิด-ปิดของแผ่นครีบ Active Flap เพื่อเปลี่ยนทิศทางการไหลของอากาศ

 

ในขณะที่ด้านหลังของ Lamborghini Huracan Performante ( ลัมบอร์กินี่ ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต ) ก็มากับงานออกแบบฝากระโปรงหลังใหม่ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพอากาศพลศาสตร์ด้วยท่อลมภายใน Rear Wing ด้านหลังซึ่งมีแผ่นครีบ Active Flap ทำหน้าที่เดียวกันโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวโดยเทคโนโลยีนี้นอกจากจะมีน้ำหนักที่เบากว่าแบบเดิมคือระบบ Hydraulic ถึงกว่า 80% แล้วยังทำงานได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 500 มิลลิวินาที เพื่อสร้างสภาวะอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุดในทุกๆ การขับขี่ ทั้งยังเสริมสมรรถนะในเรื่องของการเบรกอย่างเต็มที่

 

 

โดยเมื่อระบบนี้ถูกปิดการทำงานจะสามารถสร้างแรง Downforce ได้มากกว่า 750% ทั้งยังมีระบบ Aero Vectoring สำหรับการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงอีกด้วย โดยใช้หลักการทำงานเดียวกัน ซึ่งระบบ LPI จะสั่งการระบบ ALA ให้เปิด-ปิดแผ่นครีบ Active Flap แบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา ขณะเข้าโค้งเพื่อสร้างแรงกด Downforce และแรงยึดเกาะในส่วนของล้อฝั่งในโค้งราวกับสร้าง “แกนหมุน” ขึ้นมา เพื่อให้ตัวรถยังคงอยู่ในเสถียรภาพ ทั้งยังช่วยให้ไม่ต้องทำการหักพวงมาลัยเยอะๆ ในการเลี้ยวอีกด้วย

 

 

ส่วนต่อมา Design หรือ “งานออกแบบ” ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของยนตรกรมจากแบรนด์ Lamborghini ซึ่งผสมผสานด้วยเทคโนโลยี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสมรรถนะที่ถ่ายทอดมาจากรถแข่ง Lamborghini Super Trofeo โดยในส่วนของด้านหน้ารถ คือ ไฮไลต์ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีสำคัญอย่าง Active Aerodynamics (ALA) พร้อมกับนำเสนอความเฉียบคมราวกับรถแข่งในขณะที่ช่องดักอากาศ และ Splitter สร้างความดึงดูดสายตาด้วยลักษณะการออกแบบที่ดูคล้าย “เขี้ยวอสรพิษ” ที่พร้อมจู่โจม

 

ชุดกันชนหน้านั้นไร้ซึ่งแผงตะแกรง เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีการลดน้ำหนัก เพื่อเพิ่มอารมณ์ความสปอร์ต และสมรรถนะด้านหลังมากับฝาครอบเครื่องยนต์ทำจาก Forged Composite พร้อมด้วยช่องดักอากาศ เพื่อนำกระแสลมสู่ Rear Wing ด้านหลัง และระบายความร้อนเครื่องยนต์ ซึ่งมีวัสดุ Plexiglas หุ้มทับเครื่องยนต์ไว้อีกชั้น โดยในส่วนของฝาครอบท่อทางเดินต่างๆ นั้นใช้เลือกใช้วัสดุทองแดง แบบเดียวกับรถเวอร์ชั่นพิเศษทุกรุ่น

 

Lamborghini Huracan Performante

 

ตามด้วยงานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากมอเตอร์ไซค์สไตล์ Naked สมรรถนะสูง ผสมผสานด้วยสไตล์ของรถแข่ง โดดเด่นด้วยวัสดุคาร์บอน ไฟเบอร์ และวัสดุ Forged Composite ในส่วนของ Rear Wing และช่องดักอากาศที่ถูกออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกัน ตามด้วยการเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นด้วยชุดท่อไอเสียที่วางตำแหน่งสูงให้อารมณ์ราวกับมอเตอร์ไซค์สปอร์ต

 

ในขณะที่ Diffuser แบบ Matt Black ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากตัวแข่ง Lamborghini Super Trofeo เสริมด้วยชิ้นงานจาก Forged Composite ช่วยให้ตัวรถในด้านหลังดูกว้างขึ้นในขณะที่ด้านข้างมากับความโดดเด่นจากสเกิร์ตข้าง พร้อมช่องดักอากาศแบบ Matt Black ตัดกับกระจกมองข้างสีดำเงา Shiny Black และการตกแต่งข้างประตูด้วยสติ๊กเกอร์ Tricolor สไตล์ Sant’Agata Bolognese บ้านเกิดของกระทิงดุ Lamborghini ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาลาย Narvi ขนาด 20 นิ้ว ซึ่งเลือกใช้โทนสี Bronze ที่ออกแบบพิเศษมาเพื่อเวอร์ชั่น Performante โดยเฉพาะ

 

V10 หายใจเอง พร้อม “ขีดสุด” แห่งสมรรถนะ

Lamborghini Huracan Performante ( ลัมบอร์กินี่ ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต ) ยังคงมอบความเร้าใจในการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์แบบ V10 ที่มีกำลังสูงสุด 640 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุดได้ 600 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที พร้อมด้วยการใช้วัสดุอย่างทองแดงมาเป็นชิ้นส่วนในการทำฝาครอบท่อทางเดินต่างๆ แบบเดียวกับที่เคยใช้ใน Diablo เวอร์ชั่น 30th Anniversary

 

 

ตามด้วยการปรับแต่งสมรรถนะขึ้นใหม่ ด้วยการใช้โปรแกรมที่พัฒนาจากงานมอเตอร์สปอร์ต เช่น การอัพเกรดชุดไอดีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนชุดไอเสียมีการออกแบบใหม่เพื่อลดน้ำหนัก รวมถึงการวางตำแหน่งของท่อไอเสียใหม่ ที่สร้างสุ้มเสียงให้กระหึ่มสะใจขึ้น และเพิ่มแรงบิดรอบต่ำได้ดีขึ้น ในระดับที่มากกว่า 70% ตั้งแต่ 1,000 รอบต่อนาที

 

ส่วนระบบส่งกำลัง 7 สปีด Dual Clutch ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่พัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้เหมาะสม โดยสมรรถนะของ Lamborghini Huracan Performante ( ลัมบอร์กินี่ ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต ) ที่มีน้ำหนักเพียง 1,382 กก. กับการบาลานซ์หน้า/หลังที่ 43/57%

 

โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.9 วินาที ถึง 200 กม./ชม. ใน 8.9 วินาที และสามารถเบรกจาก 100 กม./ชม. จนหยุดนิ่งได้ใน 31 ม.

 

สปอร์ตสุดขั้ว … ทั้งนอก และในสนาม

Lamborghini Huracan Performante ( ลัมบอร์กินี่ ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต ) ได้รับการปรับแต่งช่วงล่างใหม่ ให้แข็งขึ้นอีก 10% ด้วยชุดสปริง และเหล็กค้ำต่างๆ ซึ่งช่วยลดอาการโคลงของตัวรถได้ถึง 15% ตามด้วยการเปลี่ยนวัสดุบูชยาง และวัสดุในส่วนของจุดยึดต่างๆ ให้ดีขึ้นอีกราว 50% ในขณะที่พื้นฐานช่วงล่างแบบดับเบิ้ลวิชโบนทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ที่มากับออพชั่น Magneto Rheological Suspension สำหรับทำหน้าที่ทั้ง Active และ Passive นั้นก็ได้รับการอัพเกรดขึ้นใหม่ เพื่อให้ควบคุมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อลงหวดในสนามแข่ง

 

 

ส่วนระบบพวงมาลัย Electromechanical Power Steering ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมออพชั่นระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) ก็ได้ปรับแต่งใหม่ให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะในโหมดการขับขี่ไหนก็ตามทั้ง Strada, Sport และ Corsa ซึ่งในโหมด Corsa นั้นเรียกได้ว่าการตอบสนองของพวงมาลัยนั้นเทียบเท่าได้กับอารมณ์ของรถแข่งในสนามเลยทีเดียว จากการปรับลดความแปรผันของอัตราทดพวงมาลัยลง

 

ด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Permanent Four-Wheel Drive System ได้รับการเซ็ทอัพใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ภายใต้การเอื้ออำนวยของระบบ ALA พร้อมด้วยการสวมยาง Pirelli P Zero Corsa รุ่นล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ ตลอดจนการทำงานของระบบ ESC ที่ปรับปรุงใหม่

 

 

ซึ่งในส่วนนี้ถ้าอยากเพิ่มความเร้าใจสุดๆ ก็มียาง Pirelli Trofeo R เอาไว้ให้เลือกเช่นกัน ปิดท้ายด้วยระบบเบรกที่มากับการปรับปรุงให้มีการตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น โดยด้านหน้าใช้คาลิปเปอร์แบบ 6 Pot และด้านหลังแบบ 4 Pot พร้อมตัวช่วยอย่างระบบ ABS ซึ่งจะยกระดับสมรถนะได้ดีขึ้นเมื่อสวมยาง P Zero Corsa

 

[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=-Kh9SGVn9vQ[/embedyt]