M Fan Day 2017 ฉลอง 45 ปี BMW M จากสาวกเมืองไทย หน้าห้างใหญ่ใจกลางเมือง

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตรึงพื้นที่ลาน Square A ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่วันที่ 7-10 กันยายนที่ผ่านมา จัดงาน BMW Xpo 2017 พร้อมนำเสนอไฮไลต์เด็ดจัดงาน M Fan Day รวมพลคนรัก BMW สายพันธ์โหดตระกูล M เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ด้วย BMW M หลากหลายรุ่นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน 54 คัน เช่น BMW M3, BMW M5, BMW M4, BMW M2, BMW M6 Competition มาร่วมแปรอักษรสัญลักษณ์ M

09/09/2017 ฉลอง 45 ปี ด้วยรถ BMW M ในไทย 54 คัน

ไม่รู้บังเอิญ หรือตั้งใจ แต่ 45 ปีของ BMW M  คือ เลข 4 และ 5 รวมกันได้ 9 เช่นเดียวกับรถที่มาร่วมงานซึ่งมีจำนวน 54 คัน ในวันที่ 9 ของเดือน 9 ตรึงพื้นที่ลานหน้าห้าง Central World เพื่อร่วมแปรอักษรสัญลักษณ์ M และนี่คือกิจกรรมที่เหล่าสาวก Bimmer ไม่ควรพลาด เพราะท่านจะได้เห็นยนตรกรรมระดับสุดยอดของแบรนด์ BMW ในเวอร์ชั่น M มารวมตัวกันมากมายหลายรุ่น ตั้งแต่จุดกำเนิดความแรงสายพันธ์ M จนมาถึงวิวัฒนาการล่าสุด ที่แต่ละรุ่นต่างก็มีมนต์เสน่ห์ระดับที่ทำให้เหล่า Bimmer ทั่วโลกต่างหลงรักในยนตรกรรมตระกูล BMW M

รวมพลคนรัก BMW M ในเมืองไทย กับ M Fan Day 2017

ความอลังการของงาน M Fan Day 2017 ไม่ใช่แค่การรวมกลุ่มของผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์ BMW เท่านั้น แต่บอกได้เลยว่างานนี้คือ การรวมระดับ “ตัวท็อป” ของ BMW ตัวแรงที่เปรียบได้เหมือน ชั้นบนสุดของ “ปิรามิด” แห่งแบรนด์ BMW ซึ่งนี่คือเหล่า M Car ที่พร้อมใจกันมาเพื่องานนี้ และเราจะพาไปรู้จักให้มากขึ้นอีกนิดว่าภายในงานมี M Car รุ่นไหนกันบ้าง

BMW E9

ยนตรกรรมระดับ “ขึ้นหิ้ง” ที่มีช่วงชีวิตในปลายยุค 60 ไปจนถึงกลางยุค 70 ซึ่งมาแทนที่รุ่น 2000 C และ 2000 CS พร้อมด้วยระดับสมรรถนะที่พร้อมทั้งในสนาม และบนนถนน จากขุมพลัง 6 สูบ M30 บล็อคเดียวกับรุ่น E3 ที่นำมาพัฒนาขึ้นใหม่
นำร่องด้วยรุ่นแรกในปี 1968 คือรุ่น 2800CS ขุมพลัง 6 สูบ 2.8 ลิตร 170 แรงม้า ก่อนจะตามมาด้วยรุ่น 3.0 CS และ 3.0CSi ขยายความจุเป็น 3.0 ลิตร Twin Carburettors ที่มีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 180 แรงม้า ในขณะที่รุ่น 3.0CSi จะล้ำหน้ากว่าด้วยเครื่องยนต์แบบหัวฉีด สร้างเรี่ยวแรงอยู่ที่ระดับ 200 แรงม้า

ส่วนรุ่นที่เรียกว่าเป็น “ตัวท็อป เบอร์ตอง” ของโมเดลนี้ ก็ต้องนี่แหละครับรุ่น 3.0 CSL ที่มีจำนวนการผลิตเพียง 1,265 คัน จากการสร้างชื่อในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตด้วยการแข่งขัน European Touring Car Championship เวทีที่โชว์สมรรถนะชั้นยอดของ 3.0 CSL ให้ชาวโลกได้เห็นกันแบบจะๆ ในยุคนั้น และก็สร้างความสำเร็จอย่างงดงาม

BMW M3 (E30)

BMW M

M3 รหัสตัวถัง E30 ตัวแสบจากยุค 80 ที่จุดกำเนิดจากสนามแข่ง ด้วยกฏกติกา Homologate สำหรับลงสนาม Group A Touring car racing ที่ระบุว่ารถที่ลงแข่งขัน จะต้องเป็นรถที่มีขายจริงในท้องตลาด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่นำมาสู่สายการผลิตรถถนนเวอร์ชั่นแรง ส่วนเครื่องยนต์ ก็ใช้พื้นฐานเดิมรหัส S14 มาอัพเกรดใหม่จาก 2.0 ลิตร เป็น 2.3 ลิตร โดยพละกำลังของเวอร์ชั่นรถถนนก็มีตั้งแต่ 195 แรงม้า ในยุคเริ่มต้นไปจนถึง 215 แรงม้าในรุ่นสุดท้าย

แต่นั่นแค่รุ่นพื้นฐาน เพราะทีเด็ดของ M3 (E30) ก็คือ เวอร์ชั่นพิเศษที่อยู่เหนือกว่าอีกขึ้น ด้วย E30 M3 Evolution หรือที่เรียกกันว่า Evo2 ที่พกพากำลังมาให้ถึง 220 แรงม้า ปิดท้ายด้วยระดับ Rare Item กับ BMW M3 Sport Evolution หรือ Evo3 ที่ขยายความจุเครื่องยนต์เป็น 2.5 ลิตร พร้อมพละกำลังที่สูงถึง 238 แรงม้า กับจำนวนการผลิตที่มีเพียงแค่ 600 คันทั่วโลก

BMW M3 (E36)

ผลผลิต M Car เจนเนอเรชั่นที่ 2 มากับรหัสตัวถัง E36 โลดแล่นอยู่ในช่วงยุค 90 เปิดตัวครั้งแรกปี 1992 กับเครื่องยนต์ Straight-Six แถวเรียง 6 สูบ 3.0 ลิตรในรหัส S50 และพละกำลังระดับ 282 แรงม้า ตามมาด้วยเวอร์ชั่นพิเศษในปี 1994 ชื่อว่า M3 GT ที่ผลิตขึ้นตามกฎ Homologate เช่นกัน แถมยังมีจำนวนที่น้อยเพียงแค่ 356 คัน และทุกคันจะเป็นสีเขียว British Racing Green และมาพร้อมพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 295 แรงม้า

รุ่นท็อปสุดของโมเดลนี้อยู่ในช่วงปลายปี 1995 ที่ BMW โยนบทโหดให้กับ M3 (E36) ด้วยการปรับโฉม และขยับขยายเครื่องยนต์ที่ดันขึ้นไปเป็น 3.2 ลิตร ส่วนพละกำลังก็เพิ่มขึ้นเป็น 321 แรงม้า และที่สำคัญก็คือ การเป็นจุดเริ่มต้นของยนตรกรรม M Car ที่มากับตัวถังที่หลากหลายให้ได้เลือกหากัน ทั้งรุ่นมาตรฐานอย่าง Coupe, Saloon 4 ประตู และแบบ Compact ที่ตัวถังด้านหลังสั้น ตลอดจนแบบเปิดประทุน Convertible อีกด้วย

ส่วนเวอร์ชั่นพิเศษนอกจาก M3 GT ก็ยังมีอีกหลากหลายรุ่นตามมา เช่น M3 Euro-Spec (Canadian Edition), M3 Lightweight (US), European M3 GT, M3 GT-R, M3-R และ Imola Individual หรือที่เรียกกันว่า GT2 และแต่ละรุ่นต่างก็เป็นระดับ Rare Item ทั้งนั้น

BMW M3 (E46)

รุ่นต่อมา BMW M3 รหัสตัวถัง E46 ที่มากับรูปลักษณ์ใหม่จากทรงเหลี่ยมๆ ของ 2 รุ่นก่อนสู่ความโค้งมนด้วยเส้นสายที่มีมากขึ้น พร้อมด้วยการแฝงความโหดในรายละเอียดต่างๆ ของงานดีไซน์ เพื่อสื่อถึงความแรงเร้าใจของเครื่องยนต์ ที่คงพิกัด 3.2 ลิตร จากรุ่นสุดท้ายของ E36 M3 แต่บูรณะใหม่หมดจด เบ่งกำลังสูงสุดออกมาให้ใช้ที่ 333 แรงม้า และแรงบิดถึง 355 นิวตันเมตร สำหรับเวอร์ชั่น US ส่วนเวอร์ชั่นยุโรปจะมากับ 338 แรงม้า และแรงบิด 365 นิวตันเมตร

ส่วนตัวถังยอดนิยมจะเป็นรุ่น Coupe และเปิดประทุน Cabriolet ในขณะที่เวอร์ชั่นพิเศษนั้นจะมากับพื้นฐานที่สร้างขึ้นจากรุ่นตัวถังแบบ Coupe เป็นหลัก เช่น M3 Sport, Winter และ Competition, M3 Silverstone Edition ที่สร้างขึ้นเพียงแค่ 50 คันสำหรับจำหน่ายในอังกฤษ, M3 GTR V8 (Limited Production), M3 ZCP, (สำหรับตลาด US และประเทศหลักๆ ในแถวยุโรป), รุ่น M3 CS (Coupe Sport) ที่จำหน่ายในอังกฤษ

และขาดไปไม่ได้เลยก็คือรุ่น M3 CSL (Coupe Sport Lightweight) แบบ Limited Edition ที่มีเพียง 1,400  คันทั่วโลก และมาในคราบของรถสนามเต็มขั้นด้วยเทคโนโลยีลดน้ำหนักจาก BMW Formula One Racing จนผอมบางเหลือน้ำหนักติดตัวเพียง 1,385 กก. ในขณะที่พละกำลังนั้นดีดขึ้นไปถึง 390 แรงม้า ทำอัตราเร่งระดับน้องๆ Super Car ด้วยตัวเลข 0-100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที

BMW M3 (E90, 92, 93)

BMW M

นี่คือรุ่นสุดท้ายเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของสายพันธ์แรง เครื่องยนต์หายใจเอง โดยมีทั้งแบบตัวถัง Saloon 4 ประตูรหัส E90, ตัวถัง Coupe (E92) และตัวถัง Convertible (E93) พร้อมความแรงจากขุมพลัง V8 พิกัด 4 ลิตร 414 แรงม้า และมีแรงบิดถึง 400 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ก่อนจะตามมาด้วยเกียร์อัตมัติคลัทช์คู่ M-DCT 7 สปีด

ซึ่งรุ่นที่เรียกว่าเป็นตัวถังยอดนิยมของสาวกเลยก็ต้องเป็นตัวถัง Coupe และ Convertible ที่มีความ “หล่อ” เต็มขั้น โดยเฉพาะในรุ่น Coupe ที่ถูกนำมาทำเป็นเวอร์ชั่นพิเศษมากมาย เช่น E92 M3 ZCP Competition Package, E92 M3 DTM Champion Edition ที่มีเพียง 54 คัน, E92 M3 Lime Rock Park Edition เวอร์ชั่นพิเศษสำหรับ US ที่มีเพียง 200 คัน และก็พระเอกระดับ Rare Item อย่าง E92 M3 GTS ที่มีเพียง 135 คัน พร้อมด้วยขุมพลังที่ขยายเป็น 4.4 ลิตร กับเรี่ยวแรง 444 แรงม้า เร่งจาก 0-60 ไมล์ได้ใน 4.4 วินาที

ในขณะที่รุ่นตัวถัง Sedan ก็มีเวอร์ชั่นพิเศษเช่นกัน ในชื่อ E90 M3 CRT (Carbon Racing Technology) บนพื้นฐานของรุ่นตัวถัง 4 ประตู Sedan และเพิ่มคุณค่าเข้าไปด้วยจำนวนการผลิตที่มีเพียง 67 คันเท่านั้น ตามด้วยรุ่น E92/E93 M3 Limited Edition 500 รุ่นตัวถัง Coupe และ Convertible สร้างขึ้นรวมกันจำนวน 500 คัน แต่ที่สุดต้องยกให้กับ M3 E92 Special Edition (South Africa) ซึ่งความพิเศษอยู่ที่จำนวนการผลิตแค่หยิบมือเดียวเพียง 25 คัน

BMW M2 (F87)

BMW M

เล็กพริกขี้หนูสุดแสบของ M Car โมเดลล่าสุด บนเรือนร่างของยนตรกรรม Compact Car ที่แรงไม่แพ้รุ่นพี่ในค่าย จากเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง พิกัด 3 ลิตร BMW TwinPower Turbo แบบ TwinScroll ปั้นเรี่ยวแรงให้ใช้ที่ 370 แรงม้า พร้อมแรงบิด 465 นิวตันเมตร ซึ่ง Overboost ไปได้ถึง 500 นิวตันเมตร และมีระบบส่งกำลังทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด M ให้เลือก พร้อมตัวเลขอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ที่ต่างอยู่เล็กน้อย คือ เกียร์อัตโนมัติ M DCT อยู่ที่ 4.3 วินาที เกียร์ธรรมดาจะอยู่ที่ 4.5 วินาที

BMW M5 (E34, E39, E60/E61, F10)

BMW M

ยักษ์ใหญ่สายพันธ์ M ต้นกำเนิดนั้นมาจากรุ่นที่มีรหัสตัวถัง E28 แต่ดูเหมือนเราจะส่องไม่เจอภายในงาน ฉะนั้นจึงขอเริ่มต้นด้วย M5 รหัสตัวถัง E34 ซึ่งมาโชว์ตัวความเป็นรถ Sedan 4 ประตู และรถ Wagon 5 ประตู ที่โลดแล่นอยู่ในช่วงปลายยุค 80 มาถึงกลาง 90 ที่หน้าตาจะไม่ได้ถึงกับสปอร์ตแบบเต็มขั้นเหมือนรุ่นน้องๆ ในอนุกรม 3 Series ก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าไม่ควรประมาทเด็ดขาดบนท้องถนน เพราะพี่เค้ามากับเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงพิกัด 3.6 ลิตร พร้อมฝูงม้า 311 ตัวในห้องเครื่องเลยทีเดียว สำหรับเวอร์ชั่นแรก ก่อนจะขยับขยายใหม่เป็นพิกัด 3.8 ลิตร กับพละกำลังที่ดีดเป็น 335 แรงม้า

จากตัวถัง E34 ส่งไม้ต่อสู่เจนเนอเรชั่นถัดมากับรหัสตัวถัง E39 กับหน้าตางานดีไซน์ที่ทันสมัยขึ้น หรูหราขึ้น แถมแรงขึ้นเต็มข้อ โดยออกจำหน่ายในช่วงปลายยุค 90 ถึงปี 2003 เล่นแรงด้วยขุมพลังแบบ V8 หายใจเอง ความจุ 4.9 ลิตร ที่สร้างพละกำลังได้ถึง 394 แรงม้า จากนั้นจึงปล่อยของแรงรุ่น E60 ตัวถัง Sedan และ E61 ตัวถัง Wagon ที่มากับความน่าตะลึงด้วยฐานะของรถ Production พิกัด Sedan รุ่นแรกของโลกที่ใช้เครื่องยน์เบนซิน V10 หายใจเอง และเป็น M Car เจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบตัวถัง Sedan และตัวถัง Wagon

ทั้งยังเป็นรุ่นที่ประสบความเร็จสูงที่สุดในอนุกรม M5 อีกด้วย ส่วนขุมพลังก็เบาๆ ที่ 500 แรงม้า และแรงบิด 520 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์พิกัด 5.0 ลิตร ปิดท้ายด้วย M5 รหัสตัวถัง F10 ซึ่งงานนี้ก็ไม่พลาดมารวมตัวเช่นกัน เพราะเป็นอีกหนึ่งตัวแรงด้วยเครื่องยนต์พิกัด 4.4 ลิตร 560 แรงม้า พร้อมแรงบิด 680 นิวตันเมตร และความแรงแบบบ้าเลือดของเค้าถูกซ่อนอย่างมิดชิดภายใต้รูปลักษณ์ที่เรียบหรู ระดับรถผู้บริหารเลยทีเดียว

 

BMW M6 (E63/64, F12/13)

 

ตัวแรงพิกัดยักษ์ M6 ในงานนี้มากับถึง 2 รุ่นตัวถัง คือ E63/64 และ F12/13 ยนตรกรรม 2 เจนเนอเรชั่นที่มีกับความแรงที่ไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับความสวยงาม โดยในรุ่นที่เป้นรหัสตัวถัง E นั้นจะมากับุมพลังที่ยกมาจาก M5 (E60) คือ แบบ V10 พิกัด 5.0 ลิตร 500 แรงม้า และแรงบิด 520 นิวตันเมตร

ในขณะที่เจนเนอเรชั่นต่อมา คือ รหัสตัวถัง F นั้นมีการปรับปรุงใหม่ และเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์แบบ V8 แทน โดยเป็นเครื่องยนต์บล็อคเดียวกันกับ M5 เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดรหัส F10 พิกัด 4.4 ลิตร 560 แรงม้า พร้อมแรงบิด 680 นิวตันเมตร ส่วนเวอร์ชั่นแรงสุดก็ต้องยกให้ M6 Competition Package เจนเนอเรชั่น 2 ที่สร้างเรี่ยวแรงได้ถึง 600 แรงม้า

BMW Z3 M (E36/7, E36/8)

BMW Mนี่คือต้นกำเนิด Roadster ตัวแรงสายพันธ์ M กับ BMW Z3 M แฝดคนละฝากับ 3 Series เพราะใช้แพลตฟอร์ตเดียวกันกับ E36 มาพัฒนาต่อสู่โมเดล Z3 ส่วนเวอร์ชั่น M นั้นปล่อยของออกมาในช่วงปลายยุค 90 โดดเด่นด้วยสมรรถนะที่ผ่านการปรุงแต่งจากแผนก M Division ตั้งแต่รายละเอียดทางกายภาพ ส่วนสมรรถนะนั้นมีการแบ่งทำตลาดเป็น 2 ภูมิประเทศ คือ ฝั่งยุโรป และอเมริกา

โดยจะใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 239 แรงม้า พร้อมแรงบิด 285 นิวตันเมตร ซึ่งทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนใหม่โดยใช้เครื่องยนต์รหัสเดิม แต่อัพเกรดพละกำลังเป็น 315 แรงม้า พร้อมแรงบิด 341 นิวตันเมตร มีสมรรถนะอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ดีขึ้นกว่าเดิม 0.1 วินาที

สำหรับ Z3M เวอร์ชั่นยุโรปนั้น “โหด” ขึ้นอีกระดับ และทำตลาด 2 เจนเนอเรชั่น เช่นกัน โดยเริ่มต้นกับเครื่องยนต์ 6 สูบ กับเรี่ยวแรง 316 แรงม้า พร้อมแรงบิด 320 นิวตันเมตร จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์บล็อคใหม่ รหัส S54B32 ที่มีกำลังถึง 321 แรงม้า และแรงบิด 354 นิวตันเมตร ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ที่ 5.1 วินาที

แต่เวอร์ชั่นที่ทำให้ BMW Z3 โด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีกลับไม่ใช่เวอร์ชั่น M แต่เป็นเวอร์ชั่นพิเศษ James Bond Edition จากหนังสายลับในตำนานตอน GoldenEyeครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ที่มีการผลิตออกมาเพียง 20 คัน แต่ผลลัพธ์คือมีคนสนใจเกินคาดจนต้องผลิตตามออกมาอีก 100 คัน เลยทีเดียว

BMW Z4 M (E85, E86)

รุ่นสุดท้ายของRoadster สายพันธ์ M ถูกยุติลงที่ Z4 เจนเนอเรชั่นต่อมาในรหัสตัวถัง E85 และ E86 ที่มากด้วยความความงามของงานดีไซน์ บนพื้นฐานของยนตรกรรมสไตล์ Roadster หน้ายาว ท้ายสั้น คนขับนั่งกลางรถ ส่วนความเร้าใจนั้นมาจากขุมพลัง 6 สูบเรียง ซึ่งยกมาจาก E46 M3 และจะมีพละกำลังอยู่ที่ราว 333 – 338 แรงม้า ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศที่ออกจำหน่าย