Mercedes-Benz AMG GT R PRO ตัวโหดจากโรงงาน

Mercedes-Benz AMG GT R PRO คือ ทายาทลำล่าสุดที่มาพร้อมกับสมรรถนะที่ระดับเทพ ซึ่งใกล้เคียงกับความเป็นรถสนามมากขึ้น ด้วยการนำเอาประสบการณ์จากตัวแข่ง GT3 และ GT4 มาผสมผสาน เพื่อพัฒนาส่วนสำคัญ 4 จุด คือ โครงสร้างตัวถัง, รูปลักษณ์, อากาศพลศาสตร์ และระบบช่วงล่าง

โดยความโดดเด่นของ Mercedes-Benz AMG GT R PRO นั้นว่ากันตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกในสไตล์รถสนาม เช่น การออกแบบกันชนหน้าใหม่ ซึ่งมีการเพิ่มครีบรีดอากาศ 2 ชั้นด้านข้าง พร้อมด้วยการติดตั้ง Splitter ใต้กันชน

เสริมด้วยการเจาะช่องระบายอากาศด้านบนของบริเวณแก้ม โดยมีมุมมองด้านข้างที่โดดเด่นด้วยชุดสเกิร์ต และล้ออัลลอยด์ AMG Performance ลาย 5 ก้านคู่สีเทาไทเทเนียมสุดงาม ซึ่งซุกซ่อนระบบเยรกสมรรถนะสูงแบบ Carbon Ceremic ไว้ภายใน


มุมมองด้านหลังที่โหดขึ้นด้วยชุด Diffuser หลังทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เกรดเดียวกับที่ใช้ในวงการมอเตอร์สปอร์ต เช่นเดียวกับส่วนของหลังคา และเพื่อการสร้างจุดเด่นเพิ่มเติมให้กับรูปลักษณ์ ด้วยลวดลายสีเขียวบนเรือนร่างทั้งบริเวณฝากระโปรงหน้า, ด้านข้างตัวรถ และหลังคา

ซึ่งจุดเด่นด้านอากาศพลศาสต์นั้นยัง รวมไปถึงการออกแบบด้านหลังซุ้มล้อหน้า และล้อหลัง ที่มาพร้อมกับช่องระบายอากาศเพื่อลดแรง Lift Force โดยยังรวมไปถึงชุด Airpanel ในการทำหน้าที่บังคับทิศทางกระแสลม สำหรับช่วยเพิ่มแรงกด Downforce ให้เกิดขึ้นในส่วนชอง Rear Wing Spoiler ด้านหลังอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีออพชั่น Track Package มาให้เลือกจ่ายเพิ่มหากต้องการอารมณ์ของรถสนามแบบจริงจัง โดยใน Package จะประกอบด้วย Roll Bar ที่ด้านหลัง พร้อมเข็ดขัดนิรภัย 4 จุดทั้งในตำแหน่งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า ไปจนถึงอุกรณ์สำหรับควบคุมในกรณีการเกิดเปลวไฟ

สมรรถนะของ Mercedes-Benz AMG GT R PRO นั้นจัดเต็มจากเครื่องยนต์พิกัด 4.0 ลิตร ที่อัพเกรดให้มีกำลังสูงกว่า ด้วยเรี่ยวแรงระดับ 585 แรงม้า พร้อมแรงบิด 700 นิวตันเมตร ที่สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 318 กม./ชม

. ส่วนระบบช่วงล่างมากับชุด AMG Coil-Over รูปแบบใหม่ที่มีโปรแกรมการปรับแต่งได้มากขึ้นตามสไตล์ของรถสนาม ทั้งค่า K ของชุดสปริง รวมถึงค่า Compression และ Rebound ที่รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น ทั้งยังเสริมความสปอร์ต ด้วยเหล็กกันโคลงน้ำหนักเบาที่สร้างขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์

ตลอดจนการเลือกใช้ชุด Bearing ซึ่งมีความทนทานกว่าในส่วนของช่วงล่างด้านหลัง ก่อนปิดท้ายด้วยการใส่แผ่นปิดใต้ท้องบริเวณด้านหลังรถ ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างตัวถัง และยกระดับประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์มากขึ้นเช่นกัน