รีวิว : All New HYUNDAI Elantra ( ฮุนได เอลันตร้า ) & The New HYUNDAI Tucson ( ฮุนได ทูซอน )

ฉบับนี้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่ผมได้รับเกียรติสัมผัสรถยนต์จากค่ายเกาหลีอย่าง HYUNDAI ยิ่งเป็น All New HYUNDAI Elantra ( ฮุนได เอลันตร้า ) และ  The New HYUNDAI Tucson ( ฮุนได ทูซอน ) ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ เพราะยอดขายในปี 2011 สามารถจำหน่ายได้ถึง 1,010,000 คัน ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของรุ่นที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดทั่วโลก ดังนั้น…ผมจึงขอไปพิสูจน์สักหน่อยว่าของดีจากเกาหลีมันเยี่ยมขนาดไหน

 

The New HYUNDAI Tucson

เริ่มต้นการทดสอบกันที่โชว์รูม HYUNDAI บน ถ.พหลโยธิน โดยมีผู้บริหารระดับสูงจาก HYUNDAI มาต้อนรับด้วยตัวเอง ก่อนจะส่ง คุณสฤษฎ์พร สกลรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดและวางแผนผลิตภัณฑ์ HYUNDAI Thailand ร่วมเดินทางทริป 3 วัน 2 คืนเส้นทางกรุงเทพฯ-ปราณบุรี ไปกับเรา เมื่อทุกอย่างพร้อมเลขที่ออกของรถทดสอบของผมเป็นเลขสวยๆ เบอร์ 9 ซึ่งเป็น The New HYUNDAI Tucson 2.0D 4WD Diesel โดยมีราคาค่าตัวเบาๆ 1,690,000 บาท

 

การดีไซน์

จากครั้งแรกที่ผมเห็นเจ้า Tucson ผมถือว่าเป็นการดีไซน์เส้นสายตัวรถที่อ่อนช้อย เซ็กซี่ไม่เบา ปลดล็อครูปแบบ SUV เดิมๆ ที่ต้องเน้นความแข็งแรงเป็นหลัก จึงทำให้เป็นทางเลือกของสาวๆ ที่รักการเดินทางได้อีกด้วย อุปกรณ์ต่างๆ ที่นำเข้ามาประกอบตัวรถทั้งไฟหน้า-ไฟท้าย กระจกมองข้างที่มีพร้อมไฟเลี้ยว LED และกระจังหน้าโครเมียม เป็นการตกแต่งให้ตัวรถมีจุดเด่นมากขึ้น ยกรับระดับความอ่อนช้อยที่งดงามแบบธรรมชาติให้ทันสมัยมากขึ้นทันตาเห็น

 

ภายใน

เปิดเข้าไปนั่งด้านในเพื่อเริ่มการเดินทาง มองครั้งแรก ผมก็สะดุดตากับเบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนังแท้สีน้ำตาลแดงที่เหมาะกับสี Silky Bronze ของภายนอกเหลือเกิน พอนั่งลงแล้วก็สัมผัสได้ถึงความนิ่มนวล และตำแหน่งท่านั่งที่เหมาะสมกับการเดินทาง มามองที่คอนโซลแบบ Y Shape ที่เว้าตำแหน่ง Leg Room ให้คนขับและคนนั่งหน้าในระยะที่สบายๆ กว้างขวาง ในแผงคอนโซลมีอุปกรณ์มากมายพอๆ กับรถหรูราคาแพง ที่ขาดหายไป คือ ระบบเชื่อม Blue booth โทรศัพท์ ถ้าให้ผมพูดในสิ่งที่ชอบของภายใน ผมชอบวัสดุที่มีคุณภาพ บวกกับงานประกอบที่เรียบร้อย ยิ่งพอได้ลองขับในระยะแรกผมชอบการเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ทำได้ดี

 

เครื่องยนต์

พอออกเดินทางไปสักพักเป็นเวลาที่ผมจะต้องพิสูจน์เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ DOHC 16V  D-CVVT VIS ขนาด 1995 ซี.ซี. ที่มีอัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 16 : 1 กำลังสูงสุด 177 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที และผลิตแรงบิดได้ถึง 392 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,500 รอบต่อนาที ทำงานผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Steptronic ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ Full-Time ก่อนที่ผมจะทดสอบ คิดอยู่ในใจว่าต้องเป็นรถที่ต้นจัดมากๆ แต่ความเร็วปลายคงจะไม่แรงเท่าไหร่ เพราะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ต้องมาช่วยให้การออกตัวได้ดี แต่จะทำให้ความเร็วปลายตกลง ช่วงแรกในการใช้ความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. จับเวลาประมาณ 10.4 วินาที แรงแบบหลังติดเบาะเลยทีเดียว แต่ความเร็วปลายที่ห่วงกัน จากที่ลองสัมผัสแล้วก็หายห่วง เพราะความเร็วเกินจาก 100 กม./ชม.ไปแล้วเข็มไมล์ก็ยังกวาดต่อไปอย่างต่อเนื่องไปจนถึงความเร็ว 193 กม./ชม. แบบรวดเร็ว ระบบส่งกำลังทำงานได้อย่างต่อเนื่องนิ่มนวล ทำให้เวลาเดินทาง พละกำลังจากเครื่องยนต์เพื่อแซงรถคันหน้า ทำได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ “กดคันเร่ง” พละกำลังเครื่องยนต์ก็ส่งลงสู่ล้อทั้ง 4 พาตัวรถแซงผ่านได้อย่างสบายครับ

 

ช่วงล่าง

เรื่องของระบบกันสะเทือนหน้า แม็กเฟอร์สันสตรัท และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์ ผมได้ทดสอบช่วงล่างแบบเต็มสมรรถนะ เพราะผมต้องใช้ความเร็วสูงกว่ารถในขบวนที่ใช้ความเร็วคงที่ 120-130 กม./ชม. เพื่อจะให้เพื่อนที่นั่งมาด้วยได้ถ่ายวีดีโอ ฉะนั้นต้องขับแซงซ้าย แซงขวา วิ่งไปดักขบวนข้างหน้าเพื่อเก็บภาพ ในความเร็วสูงอยู่ตลอดร้อยกว่ากิโลเมตร ผ่านทั้งโค้งหลากหลายรูปแบบ แม้จะมีอาการโยนตัวจากความสูงของรถสไตล์ SUV อยู่บ้าง แต่ระบบ ESP ป้องกันการลื่นไถล ระบบ ROP ป้องกันการพลิกคว่ำจะเข้ามาทำหน้าที่ปรับความเหมาะสมให้ตัวรถสามารถผ่านโค้งไปได้ด้วยดีครับ เรื่องความความนิ่มนวลในการเดินทาง อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วสำหรับเดินทางไกล สำหรับวันแรกก็ถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อย

 

All New HYUNDAI Elantra

ตื่นมาสายๆ เดินทางแบบเบาๆ ในวันที่ 2 ผมเปลี่ยนรถทดสอบเป็น All New HYUNDAI Elantra 1.8G ตัว TOP สุดในราคาค่าตัว 1,198,000 บาท ซึ่งเป็นพระเอกในการจัดการทดสอบในครั้งนี้ All New HYUNDAI Elantra เป็นรถที่น่าสนใจตั้งแต่ยอดขายทั่วโลกที่ผมกล่าวไปข้างต้น รวมถึงรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2012 North American Car of the Year โดยมาด้วยคอนเซ็ปต์ “ปลุกหัวใจความรู้สึกร้อนแรง” หรือ  Put Your Senses in Fire” ดังนั้นรถคันนี้จะต้องแฝง DNA ความสปอร์ตไว้ทุกอนูแน่ๆ แต่จะมีในส่วนไหนบ้างมาชมไปพร้อมๆ ผมครับ

 

การออกแบบ

การออกแบบภายใต้ปรัชญา Fluidic Sculpture ตัวรถจึงมองแล้วอ่อนช้อย เส้นสายไหลพริ้วไปทั่วคัน เปรียบได้กับการสบัดปลายพู่กันอย่างงดงามไปทั่วตัวรถ แต่บนเส้นสายนี้ ยังทำให้ค่าสัมประสิทธิ์เสียดทานอากาศเหลือเพียง 0.28 cd ซึ่งถือว่ามีแรงเสียดทานต่ำที่สุดในรถพิกัดเดียวกัน ในจุดนี้เองจึงเป็นที่มาของความประหยัดที่ดี ความเร็วปลายที่มาได้เร็วขึ้น เรื่องความลงตัวของการออกแบบผมถึงว่าเป็นรถที่สวยในความรู้สึกผม ชอบที่สุด คือ เวลารถคันนี้โลดแล่นอยู่บนท้องถนน เส้นสายของรถทำให้ผู้ที่กำลังจ้องมองรู้สึกว่าตัวรถปราดเปรียว รวดเร็วทุกย่านความเร็วเวลาเคลื่อนที่

 

ภายใน

ได้เวลาออกไปลุยกันแล้ว ขอว่ากันถึงภายในก่อนครับ สัมผัสแรก.. การนั่งลงที่เบาะก็สามารถสะท้อน คอนเซ็ปท์  “Put Your Senses in Fire” ได้แล้วเพราะตำแหน่งการนั่ง ความโอบกระชับของเบาะมาในสไตล์สปอร์ต แต่ก็ไม่ลืมความสะดวกสบายที่สามารถปรับไฟฟ้าได้ 10 ทิศทาง แผงคอนโซลด้านหน้าแบบ Y-Shape ที่จัดความความสุนทรีไว้ครบครัน แต่ที่น่าสนใจ คือ การวางตำแหน่งช่องแอร์คู่กลางที่ต่ำลงมาข้างแผงควบคุมระบบปรับอากาศ จึงทำให้การไหลเวียนของลมไปถึงผู้โดยสารตอนหลังได้ง่าย ในส่วนของมาตรวัดแบบเรืองแสงง่ายต่อการมองทั้งกลางวัน-กลางคืน พวงมาลัยแบบ 4 ก้านพร้อมมัลติฟังค์ชั่นควบคุมเครื่องเสียง พอเริ่มออกเดินทางบนถนน High Way ความเด่นชัดของทัศนวิสัยดีขึ้นเรื่อยๆ มุมมองด้านหน้าชัดเจน ด้านข้างจุดบอดของกระจกมีน้อย เรื่องการเก็บเสียงก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ

 

เครื่องยนต์

สำหรับสมรรถนะของเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียงขนาด 1.8 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที รีดแรงบิดได้ 178 นิวตันเมตรที่ 4,700 รอบต่อนาที พร้อมระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Steptronic ความเร้าใจของเครื่องยนต์บล็อคนี้ทำให้ผมรู้สึกตั้งแต่เสียงเครื่องยนต์ที่กรีดร้องอย่างนุ่มนวล แต่เกรี้ยวกราดในรอบสูงๆ ฟังแล้วกระตุ้นไฟแห่งความเป็นสปอร์ตในหัวใจ ให้อารมณ์ขับขี่ที่สนุกสนานได้ไม่น้อย ความเร็วจาก 0-160 กม./ชม. ไหลลื่น เข็มไมล์กวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่พอเลยย่านความเร็วนี้ไปแล้วจะค่อยๆ ขึ้นช้าๆ แต่ผมทำความเร็วได้ถึง 185 กม./ชม. ซึ่งยังไม่ใช่ความเร็วสูงสุด ทำได้ 205 กม./ชม.ที่ทาง HYUNDAI การันตรีไว้ สมรรถนะเท่านี้ผมถือว่าในพิกัด 1.8 ซีซี. เป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลังเพียงพอกับการเดินทางในทุกเส้นทาง รวมถึงความมีกำลังมากพอที่ให้ความสนุกในการขับแบบสปอร์ต ถ้าจะขยับความสนุกในการขับขี่ขึ้นไปถึงขีดสุดของรถคันนี้ คุณต้องปรับโหมดมาใช้ระบบ Steptronic แบบ “+” “-” ที่มาพร้อมเกียร์ 6 สปีด ช่วยดึงสมรรถนะสูงสุดออกมาใช้ให้ครบทุกแรงม้า

 

ช่วงล่าง

เมื่อเครื่องยนต์อยู่ในระดับที่น่าสนุกแล้ว ไปทดสอบช่วงล่างกันดีกว่าครับ ช่วงล่างแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทในด้านหน้า ส่วนด้านหลัง ใช้ระบบทอร์ชั่นบีม พร้อมระบบควบคุมการทรงตัว  ESP  ที่ทำงานร่วมกับ  VSM (Vehicle Stability Management) ที่ให้การตอบสนองอย่างรวดเร็วในการควบคุมรถเวลาเกิดการเสียอาการ ยิ่งมารวมกับน้ำหนักพวงมาลัยที่เหมาะสม ความแม่นยำของพวงมาลัยที่ไว้ใจได้ ทำให้เติมเต็มความสนุกในการขับได้เยอะมาก แถมยังให้ความมั่นใจที่ดีในการขับขี่ผ่านโค้งในลักษณะต่างๆ ที่ All New HYUNDAI Elantra ใส่ใจมากกว่านั้น คือ เรื่องของความนิ่มนวลในการเดินทาง ทำให้ความเหนื่อยล้าในการขับขี่ระยะทางไกลๆ มีน้อยลงมาก

 

ภาพรวมของAll New HYUNDAI Elantra & The New HYUNDAI Tucson

ในวันสุดท้ายผมของเป็นผู้โดยสารที่ดีตลอดการเดินทาง ในความรู้สึกผม All New HYUNDAI Elantra & The New HYUNDAI Tucson เป็นทางเลือกใหม่ที่ดี ทั้งให้เรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ ระบบช่วงล่าง วัสดุที่นำมาประกอบแต่ละชิ้นคุณภาพดีทีเดียว การดีไซน์ที่แตกต่างและงดงาม ยิ่งช่วงหลังในส่วนของศูนย์บริการในเมืองไทยมีมาตราฐานในเกณฑ์ดี ศูนย์ซ่อมสีตัวถังเฉพาะ HYUNDAI ก็มีให้บริการ มาตราฐานของช่างซ่อมผู้บริการก็มีศูนย์ฝึกอบรม HYUNDAI ที่คอยฝึกอบรมเพิ่มองค์ความรู้โดยตลอด การขยายตัวของโชว์รูมก็มีอยู่ทั่วประเทศ แต่ที่จะแพ้คู่แข่งตรงที่ราคารถมองแล้วอาจจะดูแพงกว่าคู่แข่งไปสักหน่อย เพราะ HYUNDAI เสียเปรียบในด้านของภาษีรถยนต์ที่สูงริบ เนื่องด้วยตัวรถต้องนำเข้ามาจำหน่ายทั้งคัน เอาเป็นว่าผู้บริโภคอย่างเราคิดลิ้มลองของอร่อยรสเลิศ อรรถประโยชน์เต็มเปี่ยม นำเข้าทุกอนู คงต้องจ่ายแพงกว่าสักเล็กน้อย ตามคอนเซ็ปท์ “ถูกและดีไม่มีในโลก”

 

สุดท้ายต้องขอขอบคุณทีม PR จาก HYUNDAI Thailand ทุกท่านที่ให้เกียรติ iAMCAR VARIETY E-MAGAZINE & www.iamcar.net ได้ร่วมสัมผัสนวัตกรรมดีๆ จากประเทศเกาหลี และการดูแลอย่างอบอุ่นตลอดการเดินทางครับ