รีวิว : MITSUBISHI Attrage ( มิตซูบิชิ แอททราจ ) ในเส้นทาง นครพนม – โขงเจียม – อุบลราชธานี ระยะทางกว่า 400 กม.

หลังจากบริษัท มิตซูบิซิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว MITSUBISHI Attrage ( มิตซูบิชิ แอททราจ ) อย่างยิ่งใหญ่ ณ สยามพารากอน โชว์ก้าวแรกที่เหนือกว่าใครด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากกว่า ECO CAR ในท้องตลาดเมืองไทย พร้อมทั้งยกระดับอัตราสิ้นเปลืองการใช้เชื้อเพลิงเป็น 22 กม./ลิตร และเพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้กับผู้บริโภค จึงจัดกิจกรรมการทดสอบให้สื่อมวลชนร่วมพิสูจน์ในเส้นทาง นครพนม – โขงเจียม – อุบลราชธานี ระยะทางกว่า 400 กม. แต่ MITSUBISHI Attrage ( มิตซูบิชิ แอททราจ ) จะก้าวเหนือใครด้วยปัจจัยอะไรบ้างไป จ. นครพนมพร้อมผมเลยครับ

 

MITSUBISHI Attrage

บินลัดฟ้าเข้าสู่ จ. นครพนม เพื่อไปยังจุดเริ่มต้นการทดสอบ ณ โชว์รูมมิตซูบิชิ จ. นครพนม เพื่อมาทำความรู้จักพระเอกของงาน MITSUBISHI Attrage ( มิตซูบิชิ แอททราจ ) ในคอนเซ็ป“แอททราจ…ก้าวที่เหนือใคร” หวังเจาะกลุ่มเป้าหมาย “คนรุ่นใหม่ที่มีความคิดทันสมัย มีรสนิยมระดับพรีเมียม และรู้จักการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า” จึงต้องเน้นในทุกอนูของตัวรถ

ตั้งแต่ชื่อ แอททราจ (ATTRAGE) มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Attractive อ่านว่า แอทแทรคทีฟ หมายถึง เสน่ห์ ดึงดูดใจ ดังนั้น การที่จะสะท้อน คำว่า “เสน่ห์” ออกมา จึงต้องเริ่มกันตั้งแต่การออกแบบภายนอกที่ใช้พื้นฐานรูปทรงของ “ G4 Concept” ซีดาน 4 ประตู มาปรับให้เหมาะสมกับ “Mass Product” โดยเริ่มจากดีไซน์ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.29 ซึ่งถือว่าดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน จากนั้น ปรับวัสดุในส่วนของจุดรับแรงกระแทกโดยใช้เหล็กที่แข็งแรงพิเศษน้ำหนักเบา “High Tensile Steel” พร้อมทั้งเทคโนโลยีการออกแบบ “Light Weight” เพื่อให้มีน้ำหนักตัวรถโดยรวมเบาที่สุดในรถเซ็กเมนต์เดียวกัน ส่งผลโดยตรงกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นมาก

 

ดีไซน์

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อมต่อมาคงเป็นเรื่องของการตกแต่งให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ที่หรูหราเหนือใคร หากมองจากด้านหน้าสิ่งที่สะท้อนคอนเซ็ปต์ออกมาได้เด่นที่สุด คงเป็นกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมคางหมูแบบโครเมียม ที่วางตำแหน่งครีบรับลมในองศาที่สามารถช่วยลดความร้อนเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด ขนาบด้วยไฟหน้าแบบฮาโลเจนที่อาศัยการออกแบบมุมตัดต่างๆ ภายในโคมสร้างความหรูหราให้โดดเด่น ส่วนของกันชนหน้านอกจากจะดีไซน์ให้ลงตัวแล้ว ยังมีไฟตัดหมอกที่มีการตกแต่งด้วยโครเมี่ยมเพิ่มความสวยงาม ด้านข้างตัวรถนอกจากจะอาศัยเส้นสายที่สบัดอย่างเฉียมคมแล้ว ยังยกระดับความหรูด้วยกระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ซึ่งนอกจากจะทำให้รถที่สวนทางมาเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังสร้างความล้ำค่าของตัวรถได้พอสมควร อ้อมมาชมด้านท้ายความโดดเด่นสะท้อนออกมาจากคิ้วโครเมียมฝากระโปรงท้ายที่ซ่อนกล้องมองหลังไว้อย่างมิด ชิด ขนาบด้วยไฟท้ายแบบขาว – แดง และการออกแบบกันชนท้ายที่ลงตัว จากที่เห็นจากด้านท้ายดูเหมือนจะเล็กๆ แต่การวางตำแหน่งที่เก็บสัมภาระมากถึง 450 ลิตร ในเรื่องความปลอดภัย Attrage ได้มาตรฐานโลกจากโครงสร้างตัวถังแบบ RISE Body เอกสิทธิ์เฉพาะของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส และคานกันกระแทกด้านข้างที่ประตูทั้ง 4 บาน เสริมความแข็งแกร่งด้วยส่วนรับแรงกระแทกจากเหล็กที่แข็งแรงเป็นพิเศษ ที่สามารถปกป้องแรงกระแทกจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

กุญแจระบบอัจฉริยะ KOS

แค่ภายนอกผมก็เล่าจนเกือบออกเดินทางไม่ทันคนอื่นเค้าแล้ว พอได้กุญแจระบบอัจฉริยะ KOS (Keyless Operaton System) ก็รีบวิ่งไปขึ้นรถเพียงคุณอยู่ในระยะ 70 ซม. จากตัวรถคุณสามารถที่จะเปิดประตูและฝากระโปรงท้ายได้เลย ระบบจะปลดล็อคให้อัตโนมัติ เมื่อเข้ามานั่งในตำแหน่งผู้ขับขี่ การปรับเบาะและกระจกข้าไฟฟ้าสามารถพับเก็บอัตโนมัติในตำแหน่งพร้อมเดินทาง เหยียบเบรก กดปุ่ม “Engine Start” ติดเครื่องพร้อมเดินทาง โดยมีสาวๆ สวยๆ พนักงานขายของโชว์รูมมาโบกไม้โบกมือส่งคณะออกเดินทาง ในช่วงแรกของการเดินระยะทาง 54 กม. เพื่อมุ่งหน้าไปนมัสการพระธาตุพนมเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อน โดยการขับขี่ในช่วงเช้าทางมิตซูบิชิวางแผนให้สื่อมวลชนขับแบบใช้งานจริงตามมาตรฐานความเร็วที่กฎหมายกำ หนด เพื่อจะได้วัดอัตราความสิ้นเปลือง ผมจึงใช้ความเร็วในการเดินทางประมาณ 100 – 110 กม./ชม. ในการขับรถชิวๆ แบบนี้เดี๋ยวจะหลับซะก่อน ผมขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับภายในดีกว่า คันขอผมเป็นรุ่น Top ที่สุดคือ Attrage GLS Ltd. มีออฟชั่นมาให้เต็มเปี่ยม

 

ดีไซน์ออกแบบภายใน

ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญในการ “ก้าวให้เหนือคู่แข่ง” เพราะการดีไซน์ออกแบบภายในเน้นที่ความกว้างขวางสะดวกสบายเป็นหัวใจหลัก จากนั้นก็ยกระดับด้วยโทนสีดำ (Piano Black) ตัดขอบด้วยสีโครเมี่ยม (Silver Decoration) สร้างเสน่ห์ความหรูหรา จากสัมผัสแรกของพวงมาลัยแบบสามก้านพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง รู้สึกถึงความกระชับในการควบคุม และความง่ายดายในการสั่งงานเครื่องเสียง เมื่อมองผ่านพวงมาลัยจะเห็นเรือนไมล์แบบ Combination ที่มีจุดเด่นตรงจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ที่สามารถบอกระยะทางรวม, ระยะทาง Trip A-B, ระยะทางที่ขับได้จากปริมาณน้ำมันที่เหลือในถัง, อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย และระบบเตือนการบำรุงรักษาให้กับผู้ขับขี่ ขยับมาสัมผัสที่ตรงกลางคอนโซล จะเห็นที่สุดของความบันเทิงพร้อมอรรถประโยชน์มากมายที่ส่งผ่านจอภาพแบบ Touch Screen ขนาด 5.6 นิ้ว อย่างแรกที่ทำได้ คือ การเป็น Navigation คอยบอกเส้นทางการเดินทาง ต่อมาเป็นระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สายผ่าน Bluetooth ที่หลังจากเชื่อมแล้วสามารถสั่งงานระบบ ผ่านการ Touch จากหน้าจอได้เลย สุดท้ายเป็นส่วนของความบันเทิงที่สามารถส่งผ่าน Bluetooth USB Port หรือแผ่น DVD ทั้งเสียงเพลง และ ภาพยนต์ ขยับลงมาจะเห็นระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล ปรับอุณหภูมิความเย็นแบบอัตโนมัติ พร้อมที่วางแก้วที่มีให้ทั้งคอนโซลหน้า – กลาง ข้างประตู และที่วางแขนด้านหลัง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วคณะเราก็ถึง ณ พระธาตุพนม เราจึงลงไปนมัสการเพื่อเป็นสิริมงคล แต่ก่อนจะลงจากรถสังเกตเห็นความปลอดภัยที่มีให้ เช่น ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่ด้านคนขับด้วยครับ

 

อัตราการใช้น้ำมัน

เมื่อ “รังสีออร่า” แห่งความดีเต็มเปี่ยมเราก็เดินทางต่อในช่วงที่ 2 คราวนี้มาดูเรื่องทัศนวิสัยการขับขี่บ้าง แม้ตัวรถจะมีขนาดเล็กเพื่อความคล่องตัวในสไตล์ ECO CAR แต่การออกแบบยังคำนึงถึงเรื่องทัศนวิสัยจึงลดขนาดของเสา A ลง เพื่อเพิ่มพื้นที่ของกระจกบานหน้า ทำให้เวลาขับขี่มีมุมมองที่กว้างชัดเจน เรื่องการเก็บเสียงภายในรถหากขับแบบชิวๆ เดินทางสัก 100 กม./ชม. ไปเรื่อยๆ เสียงเครื่องยนต์ เสียงลมปะทะ แทบจะไม่ได้ยิน แต่หากใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ เหยียบคันเร่งเต็มๆ จะมีเสียงเครื่องยนต์เล็ดรอดเข้ามาสร้างความเร้าใจในการขับขี่อยู่บ้าง แต่ไฮไลท์ของช่วงที่ 2 คงจะเป็นเรื่องของอัตราการใช้น้ำมัน คันของผมใช้ระยะทางทดสอบช่วงเช้ารวม 107.2 กม. เฉลี่ยความเร็วที่ 100 กม./ชม. จากการแอบดูปริมาณน้ำมันที่ใช้ไปจากหัวจ่ายน้ำมันแล้วนำมาคำนวนจะอยู่ราวๆ 19.2 กม./ลิตร (ซึ่งยังไม่ใช่ตัวเลขจริงที่ยังไม่ผ่านการรับรอง) หากดูจากอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยจากหน้าจอที่เรือนไมล์จะอยู่ที่ 20.2 กม./ลิตร ถ้าจะถามผมว่าตัวเลขนี้พอใจหรือไม่ สำหรับผมถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีครับ เดินทางกม.ละบาทกว่าๆ น้ำมัน 1 ถัง 42 ลิตร ขับดีๆ ไปเรื่อยๆ ถึงเชียงรายสบาย

 

เครื่องยนต์

จบการทดสอบช่วงที่ 2 แวะทานอาหารเที่ยงสักเล็กน้อย เติมพลัง เก็บแรงไว้สัมผัสสมรรถนะเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 Valve สามารถทำแรงม้าสูงสุดที่ 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที สร้างแรงบิดสูงสุดได้ 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับทั้งเบนซิน 91 และ 95 แก๊สโซฮอล์ 91, 95 และ E20 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์บล็อคเดียวกับที่ประจำการณ์ของใน Mirage แต่ใน Attrage จะมีการลดน้ำหนักตัวเครื่องยนต์ในบางชิ้นเพื่อให้น้ำหนักรวมตัวลดไม่เพิ่มมากจนเกินไป ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมโหมด Sportronic และระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS-III ควบคุมทั้งหมดด้วยระบบคอมพิวเตอร์

 

ในช่วงที่ 3 ระยะทาง 90 กม. เป็นการทดสอบอัตราเร่งล้วนๆ เนื่องจากเป็นทางตรงยาว 2 เลนสวนกัน จึงเหมาะนักที่จะทดสอบสมรรถนะอัตราเร่ง จากการที่สัมผัสแม้จะเป็นเครื่องยนต์เพียง 1.2 ลิตร แต่อัตราเร่งที่ผสมผสานกับระบบส่งกำลัง CVT ทำให้มีพละกำลังในการเดินทางที่น่าสนใจ ความนิ่มนวลของระบบส่งกำลัง CVT สร้างเสน่ห์ที่ไหลลื่นให้กับอัตราเร่ง สอดคล้องเพียงพอกับการเดินทางที่ปลอดภัยครับ

 

ระบบช่วงล่าง

ช่วงสุดท้ายเป็นการเดินทางไปอุทยานแห่งชาติผาแต้มระยะทาง 120 กม. เส้นทางใช้ความเร็วได้แบบสนุกสนาน ทางโค้งแคบบ้าง โค้งกว้างใช้ความเร็วสูงบ้างสลับกันไป ทำให้ผมได้ทดสอบความสามารถของระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD เพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกด้วยดิสก์เบรกหน้า แบบมีช่องระบายความร้อน ดรัมเบรกหลังที่แข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย ในเรื่องของการทรงตัวในทางตรง และความนิ่มนวลในการขับขี่ถือว่าสอบผ่าน อยู่ในเกณฑ์ขับขี่สบาย การซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนน ถือว่าดีครับ

 

ก่อนจะลาจากในหน้านี้ ทุกๆ ท่านคงทราบกันไปแล้วว่า “MITSUBISHI Attrage…ก้าวที่เหนือใคร” เหนือกว่าด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ความบันเทิงที่เชื่อมต่ออย่างง่ายดาย น้ำหนักตัวรถที่น้อยกว่า หลักอากาศพลศาสตร์ที่ดี สร้างแรงเสียดทานต่ำ ภายในที่กว้างขวาง และการออกแบบเน้นความหรูหรา นั่นแหละครับ…ก้าวใหม่ที่มั่นใจจากมิตซูบิชิ

 

สุดท้ายขอบคุณ มิตซูบิซิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ที่ให้โอกาส iAMCAR VARIETY e-MAGAZINE ได้สัมผัสก้าวใหม่ของนวัตกรรมดีๆ ครับ