รีวิว : New MITSUBISHI Mirage ( มิตซูบิชิ มิราจ )

นั่งนับวันนับคืนรออยู่นานสำหรับ New MITSUBISHI Mirage ( มิตซูบิชิ มิราจ ) เพราะแค่เปิดตัวไปไม่กี่เดือนก็สามารถสร้างยอดจองอย่างถล่มทลายปาเข้าไปกว่าสองหมื่นคันแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครออกมาเขียนบทวิจารณ์ว่าตัวรถดีอย่างไร นั่นหมายถึงว่าผู้บริโภคชาวไทยไว้วางใจรถจากค่าย MITSUBISHI อยู่ไม่น้อย แล้วโอกาสนี้ก็เป็นฤกษ์ดีของนิตยสาร iAMCAR ที่ทาง บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้เกียรติเชิญร่วมการทดสอบในเส้นทางกรุงเทพฯ-ราชบุรี

New MITSUBISHI Mirage

 

เริ่มต้นการทดสอบกันตั้งแต่เช้าตรู่ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ย่านรังสิต เมื่อทุกอย่างพร้อมสื่อมวลชนทุกท่านก็ฟังการบรรยายเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ New MITSUBISHI Mirage แต่ผมของเล่าให้ฟังระหว่างการเดินทางดีกว่า

 

การออกแบบ

การเดินทางในช่วงแรกของผม ผมรับหน้าที่เป็นผู้โดยสารที่ดี ใน New MITSUBISHI Mirage สี Red Metallic รุ่น GLS Ltd. เกียร์ CVT เจ้าตัวเล็กนี้ผลิตขึ้นจากโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตและส่งออกใหญ่ที่สุดของ MITSUBISHI ที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น เรื่องของการออกแบบเน้นหลักอากาศพลศาสตร์ ลดขนาดของตัวรถและน้ำหนักของตัวรถ แต่ยังคงให้ความแข็งแกร่ง ด้วยส่วนรองรับแรงกระแทกผลิตจากเหล็กที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ High-tensile steel เพื่อทำให้ได้เกิดอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดตามคอนเซ็ปต์ของรถ Eco Car

ภายในห้องโดยสาร

ระหว่างการเดินทางผมสัมผัสกับภายในห้องโดยสารการดีไซน์ ถือว่าเป็น Eco Car ที่นั่งแบบสบายๆ ไม่อึดอัด แต่ในส่วนผู้โดยสารด้านหลังผมยังไม่ได้ลองไปนั่งครับ การออกแบบของคอนโซลเรียบง่าย โค้งหลบในส่วนของของเสา A เพื่อเพิ่มทัศนะวิสัยการขับขี่ แต่ในความเรียบง่ายแอบซ่อนสิ่งอำนวยความสะดวกไว้หลายอย่าง เช่น กล่องเก็บของด้านคนนั่งแบบ 2 ชั้น ที่ซ่อนช่องเสียบ USB ไว้ด้านใน ทำให้เราสามารถวาง iPHONE ไว้ที่ช่องด้านบน โดยมีขอบขึ้นมากันตกด้วย ส่วนสาย USB ที่รอดออกมาจากกล่องเก็บของซึ่งมีรูเว้าเล็กๆ ไว้เป็นทางเดินของสาย USB ตรงกลางคอนโซลมีวิทยุ ซีดี MP3 ดีวีดี จอภาพแบบระบบสัมผัส (Touch Screen) ขนาด 7 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) ระบบนำทางในรถ (Navigator System) พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ขยับมาอีกหน่อยตรงมาตรวัดซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่จอแสดงผลข้อมูลเอนกประสงค์ (Multi Information Display) สามารถแสดงผลทั้งระยะทางทั้งหมด, Trip A-B, ปรับแสงสว่างหน้าปัด, คำนวนระยะทางที่สามารถขับขี่ได้จากปริมาณน้ำมันในถัง, คำนวนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย และเตือนการบำรุงรักษา ซึ่งทั้งหมดนี้ควบคุมได้ง่ายๆ ด้วยการกดที่ปุ่มปรับตั้งที่หน้าปัด อีกจุด คือไฟเตือน “ECO” ที่คอยแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ได้เรียนรู้การขับแบบประหยัดไปในตัว

ออฟชั่นเสริม

ส่วนออฟชั่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ MITSUBISHI ใส่มาให้เป็นแพ็คเกจ เช่น ไฟหน้าปิดอัตโนมัติหลังจากดับเครื่องยนต์, ระบบใบปัดน้ำฝนหลังอัตโนมัติปัดแบบต่อเนื่องเมื่อความเร็วเกิน 60 กม./ชม. ใบปัดน้ำฝนหลังปัดซ้ำ 2 ครั้งเมื่อเข้าเกียร์ “R” (ต้องเปิดสวิทต์ในตำแหน่งปัดจังหวะ), ระบบล็อคประตูซ้ำ 30 วินาทีเมื่อปิดประตู, ระบบไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน เมื่อขยับก้านไฟเลี้ยวเล็กน้อย ไฟเลี้ยวจะกระพริบ 3 ครั้ง, ระบบหน่วงเวลากระจก 30 วินาที เมื่อดับเครื่องยนต์เราสามารถปิดกระจกได้อยู่ พร้อมทั้งระบบเซ็นเซอร์ป้องกันกระจกหนีบ และสัญญาณเตือนเมื่อประตูปิดไม่สนิท ถือว่ามากมายสำหรับสิ่งที่มีมากับเจ้าตัวเล็กคันนี้

 

สมรรถนะของเครื่องยนต์

กว่าผมจะบรรยายหมดก็ได้เวลาที่ผมได้ลองสมรรถนะของเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 Valve รองรับทั้งเบนซิน 91 และ 95 แก๊สโซฮอล์ 91, 95 และ E20 ในเรื่องของสมรรถนะถ้าเป็นการเดินทางในเมืองอยู่ในระดับที่น่าพอใจ การเดินทางไกลในความเร็วสัก 100-110 กม./ชม. ก็ขับไปได้เรื่อยๆ แบบสบายๆ แต่จะให้รีดแรงม้าออกมาแบบทันอกทันใจ ผมว่าคงไม่รวดเร็วเท่าไหร่นัก แต่ความต่อเนื่องราบรื่นของระบบส่งกำลังแบบ CVT INVECS-III ต่างหาก ที่ให้การขับขี่ที่ง่ายดาย นิ่มนวลในการเดินทาง อีกอย่างที่โดดเด่นเป็นระบบ Idle neutral control ซึ่งตัดกำลังจากเกียร์ไปสู่ล้อขณะที่เหยียบเบรค เพื่อช่วยลดการสึกหรอของชุด Torque Converter ลง โดยปกติแล้วถ้ารถเราใส่เกียร์ “D” เหยียบเบรค ระบบส่งกำลังจะยังส่งกำลังไปหมุนเพลาขับอยู่ แต่เราเหยียบเบรคไว้รถจึงไม่เคลื่อนที่ออกไป แต่ชุด Torque Converter ยังทำงานจึงทำให้เกิดการสึกหรอง่าย แต่เมื่อมีระบบนี้เข้ามาจึงตัดกำลังที่ส่งไปหมุนเพลาขับ เมื่อเราเหยียบเบรค จึงลดการสึกหรอของชุด Torque Converter ลงได้ทำให้ระบบเกียร์ใช้งานได้ยาวนานขึ้นครับ เหมาะมากสำหรับการใช้ในเมือง ติดไฟแดงบ่อยๆ ส่วนในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงผมใช้ความเร็วในการเดินทางประมาณ 110 กม./ชม. อยู่ประมาณ 18-19 กม./ลิตรครับ

สมรรถนะของระบบช่วงล่าง

มาถึงช่วงที่สองของการทดสอบเป็นทางโค้งขึ้นเขาลงเขา เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของระบบช่วงล่าง และระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ESP ซึ่งในเรื่องการแปรผันของน้ำหนักพวงมาลัยตามความเร็วต่างๆ ทำได้ดี มีอาการหนักขึ้นเมื่อความเร็วสูง เบาลงเมื่อถอยจอด แต่เมื่อใช้ความเร็วในการเข้าโค้งระยะฟรีของพวงมาลัยมากไปสักนิด ทำให้ความแม่นยำของพวงมาลัยมีน้อยลง รวมถึงขนาดหน้ายางที่ขนาดเล็ก จึงเหมาะสมที่จะใช้งานในเมืองมากกว่าที่จะออกไปโลดแล่นเข้าโค้งด้วยความเร็ว แต่ถ้าขับเรื่อยๆ ลดความเร็วในโค้งลงหน่อยก็โอเคครับ ในเรื่องความปลอดภัยมีระบบเบรค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรคแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) รวมถึงดิสก์เบรคหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน ช่วยให้ประสิทธิภาพการเบรคดีขึ้นปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย

สุดท้ายเมื่อเปรียบเทียบราคากับสิ่งที่ New MITSUBISHI Mirage มีติดตัวมาให้จากโรงงาน สำหรับผมถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ หากท่านใดสนใจอยากสัมผัสด้วยตัวเอง ตอนนี้จอดรอคุณทุกโชว์รูมทั่วประเทศแล้วครับ

 


บทความแนะนำ

รีวิว : New Mitsubishi Attrage ( มิตซูบิชิ แอททราจ ใหม่ ) เวอร์ชั่นอัพเกรดใน ราคา เพียง 4.7 แสน กับการลองขับเบาๆ กรุงเทพฯ – ระยอง
ใหม่ ราคา New Mitsubishi Mirage & Mitsubishi Attrage 2017 ก้าวไปสู่อีกขั้น ด้วยนวัตกรรมแห่งเทคโลยี ใน ราคา 472,000 บาท