รีวิว New Suzuki Ertiga Dreza 2016 ทั้ง2 รุ่น New Suzuki Ertiga GL และ New Suzuki Ertiga Dreza

ด้วยรากฐานแห่งชื่อเสียงที่สั่งสมมาจากกระแสความร้อนแรงของสุดยอด Eco Car แห่งยุคอย่าง Swift จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ Suzuki โด่งดังเป็นพลุแตก ฉะนั้นจึงไม่เป็นการยากนักที่ Suzuki Ertiga จะดำเนินรอยตามในเกมส์การตลาด จนกระทั่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และสร้างยอดจำหน่ายในกลุ่มของรถครอบครัวพิกัด Compact MPV มาตลอดได้อย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สร้างความสำเร็จให้กับ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และนี่คือการกลับมาอีกครั้งของยนตรกรรม Compact MPV จากแบรนด์ Suzuki ในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของ Ertiga ซึ่งมาพร้อมความสดใหม่ด้วยเพิ่มเติมความสปอร์ต ที่ผสมผสานกับความเรียบหรู และความสะดวกสบายได้อย่างมีสไตล์ โดย New Suzuki Ertiga เจนเนอเรชั่นล่าสุดนี้จะทำตลาดด้วยกัน 2 รุ่น คือรุ่นพื้นฐาน New Suzuki Ertiga GL และรุ่นท็อปสุดกับ New Suzuki Ertiga Dreza

 

New Suzuki Ertiga GL

สำหรับความแตกต่างทางด้านภายนอกระหว่างเจนเนอเรชั่นที่แล้วกับ New Suzuki Ertiga GL นั้นประกอบด้วยอารมณ์ความหรูหราที่เพิ่มขึ้น เช่น กระจังหน้าดีไซน์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยม รับกับชุดกันชนหน้าแบบใหม่ที่ออกแบบให้มีช่องดักอากาศที่เล็กลง แต่ยาวขึ้น เชื่อมต่อไปถึงกรอบไฟตัดหมอกหน้าทรงกลมทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนด้านหลังนั้นโดดเด่นด้วยชุดไฟท้ายดีไซน์ใหม่ และการตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยมบริเวณมือจับเปิดประตู ตามด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 15 นิ้วลายใหม่

 

New Suzuki Ertiga GL จะมากับการตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยความอ่อนโยนจากโทนสีเบจ และสีเงิน พร้อมกับการแต่งเติมความสดด้วยวัสดุผ้าหุ้มลายใหม่ เช่นแผงประตู, เบาะนั่งทั้ง 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับที่นั่งแถว 2 ด้วยที่วางแขน รวมถึงความสามรถในการปรับเลื่อนระยะหน้า-หลังได้ถึง 240 มม. และการปรับพับเบาะแถว 2 แบบ 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 ปรับพับได้แบบ 50:50 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ ในขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานนั้นจะประกอบด้วย ชุดเครื่องเสียงที่รองรับวิทยุ, CD และช่องเชื่อมต่อ MP3 ตามด้วยระบบปรับอากาศหน้า-หลัง ตลอดจนช่องจ่ายไฟสำรอง 12V ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เช่นกัน

 

New Suzuki Ertiga Dreza

ทางด้านรุ่นท็อปอย่าง New Suzuki Ertiga Dreza นั้นปรับโฉมเต็มขั้นตั้งแต่มิติตัวถังที่ยาวขึ้นเป็น 4,265 มม. ตามด้วยการตกแต่งให้กับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสปอร์ต และโฉบเฉี่ยวขึ้น ตั้งแต่ด้านหน้าที่มากับกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ลงตัวด้วยชุดกันขนหน้าใหม่ที่ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยม ชุดไฟ LED และไฟตัดหมอกทรงกลม ตามด้วยการเพิ่มความเฉียบคมให้กับด้านข้างด้วยชุดสเกิร์ตดีไซน์ใหม่ รับกับล้ออัลลอยด์ใหม่สีทูโทนขนาด 15 นิ้ว ส่วนด้านหลังนั้นเติมลุคสปอร์ตขึ้นด้วยชุดสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3, ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมการตกแต่งบริเวณมือจับด้วยวัสดุโครเมี่ยม และปิดท้ายด้วย Dreza Emblem ดีไซน์แบบพิเศษ

 

ส่วนภายในห้องโดยสารของ New Suzuki Ertiga Dreza นั้นจะเน้นความสปอร์ตเข้มด้วยสไตล์ทูโทนด้วยสีเทา – เบจ พร้อมการตกแต่งด้วยลายไม้ ภายใต้การจัดวางแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ซึ่งยังคงไว้กับความเป็นรถอเนกประสงค์ที่สะดวกสบาย และตอบสนองการใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น ระบบปรับอากาศแถวหหน้า และแถวหลัง, เบาะนั่งแถว 2 พร้อมที่วางแขน ซึ่งปรับพับได้แบบ 60:40 และปรับเลื่อนระยะหน้า – หลังได้ถึง 240 มม. รวมถึงเบาะนั่งแถว 3 ที่ปรับพับได้แบบ 50:50, ช่องจ่ายไฟ 12V บริเวณคอนโซลด้านหน้า และที่นั่งแถว 2, ชุดเครื่องเสียงแบบ Built-in ที่รองรับ วิทยุ, CD พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB โดยจะมาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นสำหรับการอำนวยความสะดวกในการควบคุมเครื่องเสียงได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ปิดท้ายด้วยชุดมาตรวัดความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินตามแนวโค้งของมาตรวัดเพื่อยกระดับความหรูขึ้นอีกขั้น

 

The Power of Performance

New Suzuki Ertiga ทั้ง 2 รุ่นยังคงขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC ขนาดความจุ 1.4 ลิตร รหัส K14B ที่มาพร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT ซึ่งจะกำหนดจังหวะการทำงานของวาล์วไอดี ทั้งยังช่วยใหร้ะบบไอเสียทำงานได้ดีขึ้น และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Multipoint Injection โดยพละกำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 92 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ซึ่งลดลงจากเดิม 95 แรงม้าที่รอบเครื่องยนต์เท่ากัน ในขณะที่แรงบิดสูงสุดนั้นคงที่กับตัวเลข 130 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด สู่ระบบขับเคลื่อนล้อนหน้า และควบคุมด้วยระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนี่ยน ในขณะที่ระบบช่วงล่างนั้นด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริงทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ปิดท้ายด้วยระบบเบรกซึ่งใช้พื้นฐานด้านหน้าแบบดิสก์ และด้านหลังแบบดรัมเบรก ส่วนอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ New Suzuki Ertiga ก็คือน้ำหนักตัวถังของทั้งรุ่น GL และ Dreza เมื่อเทียบกับโมเดลที่แล้วจะเบาลงกว่าเดิมราวๆ 70-80 กก. ซึ่งทำให้อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักเกิดความสมดุลย์ขึ้น ส่งผลให้ทั้งสมรรถนะ และอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้นอีกระดับ

 

Test Drive

ระยะทางราว 300 กม. ระหว่างจังหวัดพิษณุโลก, สุทัย และอุตรดิตถ์ คือ เวทีสำคัญของการทดลองขับ New Suzuki Ertiga ทั้ง 2 รุ่น ซึ่งงานนี้เราเก็บจานเด็ดอย่างตัวท็อปรุ่น Dreza เก็บไว้ก่อน ทำให้รุ่น GL คือ จานแรกของเราในการทดลองขับครั้งนี้ โดยจุดเริ่มต้นของการขับขี่ในครั้งนี้คือจังหวะพิษณุโลก มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุโขทัยที่มีทางตรงค่อนข้างเยอะ และถนนที่รถราโล่งมากพอที่จะสามรถทำความเร็วได้อย่างเต็มที่จากเครื่องยนต์พิกัด 1.4 ลิตร

ซึ่งความรู้สึกโดยรวมที่สัมผัสได้นั้นคือพฤติกรรมการส่งกำลังของเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดที่ดูราวกับมีการปรับเซ็ทมาใหม่ ทำให้ในช่วงจังหวะการส่งกำลังจากเกียร์ต่อเกียร์นั้นทำได้อย่างนุ่มนวล และราบลื่นมากขึ้น ทั้งยังรับคำสั่งจากน้ำหนักเท้าที่กดลงบนแป้นคันเร่งได้อย่างต่อเนื่อง สามารถไล่ระดับความเร็วขึ้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ ตลอดจนอัตราการเร่งแซงที่อยู่ในระดับน่าพอใจเมื่อทำการ Kickdown เพื่อเค้นพละกำลัง นอกจากนี้ทางด้านช่วงล่างก็ยังคงดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ตามสไตล์ของรถครอบครัว ที่เน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก ในขณะที่การควบคุมนั้นก็ยังคงให้ความคล่องตัวได้ดีจากน้ำหนักพวงมาลัยแปรผันที่เบาแรงในความเร็วต่ำ และจะค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้นตามระดับความเร็ว ส่วนด้านการทรงตัว และการยึดเกาะถนน นั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ให้ความมั่นใจได้ดีทั้งในย่านความเร็วต่ำ และความเร็วสูง แต่ด้วยลักษณะของตัวรถที่เน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก ประกอบกับความสูงของตัวรถนั้นอาจจะมีบ้างกับอาการโคลงเล็กๆ เมื่อเข้าโค้งแคบๆ ด้วยความเร็ว หรือเปลี่ยนเลน์แบบฉับพลัน แต่โดยรวมแล้วก็ยังอยู่ในความควบคุมที่ไม่ยากลำบากนัก และยังขับขี่ได้แบบสบายๆ เช่นเดียวกับระบบเบรกที่น้ำหนักของแป้นคันเร่งอยู่ในระดับที่ตึงเท้าพอดีๆ สามารถควบคุมได้อย่างมั่นใจ ในทุกระดับความเร็วเมื่อต้องการการหยุดยั้ง

 

แต่สำหรับไฮไลต์สำคัญอย่างรุ่น New Suzuki Ertiga Dreza นั้นแม้จะมีรายละเอียดทางด้านวิศวกรรมที่เหมือนกันกับรุ่น GL ก็ตาม แต่สัมผัสจากการขับขี่นั้นบอกเราได้ทันทีว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ราวกับเป็นการบรรจงเพิ่มอารมณ์ความสปอร์ตขึ้นให้เด่นชัดบนพื้นฐานของ Suzuki Ertiga โดยเฉพาะในช่วงเส้นทางทดสอบที่ 2 ซึ่งเริ่มต้นจากจังหวัดสุโขทัย มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ ด้วยทางหลวงสายรองแบบ 2 เลนสวนที่ต้องใช้สมรรถนะของตัวรถอย่างเต็มที่ ตั้งแต่พละกำลังจากเครื่องยนต์พิกัด 1.4 ลิตรในจังหวะการ Kickdown บ่อยครั้งเพื่อเร่งแซง ตลอดจนแฮนด์ลิ่งของการควบคุมที่เฉียบคมจากพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนี่ยนที่แปรผันน้ำหนักได้อย่างลงตัว รวมถึงระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริงทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ที่รู้สึกว่าน่าจะมีการปรับเซ็ทให้มีความสปอร์ตมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยนอกจากระบบช่วงล่างแล้ว ล้อขนาด 15 นิ้ว ของรุ่น Dreza นั้นยังได้เพิ่มขีดความสามารถด้านสมรรถนะขึ้นอีกระดับด้วยยางติดรถที่แม้จะเป็นซีรี่ส์เดียวกัน แต่ใน New Suzuki Ertiga Dreza นั้นเปลี่ยนมาใช้ Bridgestone Ecopia ในขณะที่รุ่น GL ยังคงเป็นยาง GT Radial เช่นเดียวกับเวอร์ชั่นที่แล้ว

 

ซึ่งด้วยองค์ประกอบข้างต้นเหล่านี้เองที่ทำให้ New Suzuki Ertiga Dreza มีฟิลลิ่งที่ต่างจากรุ่น GL อย่างชัดเจนด้วยความสปอร์ตที่มีมากขึ้น ทำให้ช่วยยกระดับการทรงตัว การยึดเกาะถนน อันส่งผลถึงความมั่นใจได้มากขึ้น เมื่อต้องใช้ความเร็วสูง ทั้งยังเปี่ยมด้วยความเฉียบคมในการควบคุมเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเส้นทางคดโค้งในองศาต่างๆ โดยทั้งหมดคือสิ่งที่เปลี่ยนบุคคลิกเรียบร้อยของรถครอบครัวอย่าง Ertiga ให้กลายเป็นรถครอบครัวตัวซิ่งได้ในทันทีเมื่อต้องการ ซึ่งไม่ใช่แค่นั้นหากแต่ New Suzuki Ertiga Dreza ก็ยังไม่ทิ้งคุณลักษณะของความเป็นรถครอบครัว ที่ยังคงให้อารมณ์การขับขี่ที่นุ่มนวล หนักแน่น และนั่งสบายได้ไม่แพ้รุ่น GL เช่นกัน

 

เรียกง่ายๆ ว่าการกลับมาของ Ertiga เจนเนอเรชั่นที่ 2 ครั้งนี้ โดยเฉพาะ New Suzuki Ertiga Dreza นี้ คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างบรรทัดฐานของรถ Compact MPV ขึ้นระดับ จากการผสมผสานคุณลักษณะของความเป็นรถเอนกประสงค์ และฟิลลิ่งความสปอร์ตที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ได้อย่างลงตัวทีเดียว

 


แท็กยี่ห้อรถยนต์ : Suzuki

แท็กฮิต : , , ,