นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นำทีมผู้บริหารรับ 15 รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี CAR OF THE YEAR 2024 จาก ดร.ไพลิน เทียนสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องรอยัลจูบิลี่บอลรูม อาคาร ชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี รางวัลที่ได้รับ มีดังต่อไปนี้

TOYOTA                            BEST SELLING BRAND

TOYOTA                            BEST EXPORT BRAND

TOYOTA YARIS ATIV        BEST SEDAN UNDER 1,300 c.c.

    TOYOTA YARIS HATCHBACK  BEST HATCHBACK UNDER 1,300 c.c.

      TOYOTA YARIS CROSS      BEST HYBRID SUV UNDER 1,500 c.c.

      TOYOTA COROLLA CROSS GR SPORT    BEST HYBRID SUV UNDER 1,800 c.c.

      TOYOTA CAMRY PREMIUM BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c.

      TOYOTA CAMRY 2.5 HEV Premium BEST MID-SIZE HYBRID SEDAN UNDER 2,500 c.c.

      TOYOTA HILUX REVO Standard cab 4×2 2.8 Entry    BEST 2WD PICKUP UNDER 3,200 c.c.

        TOYOTA HILUX REVO 2.8 ROCCO BEST 4WD PICKUP UNDER 2,800 c.c.

          TOYOTA HILUX REVO   BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,500 c.c.

            TOYOTA FORTUNER GR SPORT   BEST DIESEL 4WD PPV UNDER 3,200 c.c.

              TOYOTA HILUX CHAMP   THE BEST INN0VATION PICKUP

                LEXUS RX 500h F Sport     BEST HYBRID SUV UNDER 2,500 c.c.

                  LEXUS LM 350h 4-seater   BEST HYBRID LUXURY MPV

                    รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR OF THE YEAR 2024” จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ดีด้านธุรกิจยานยนต์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย โดยจะทำการคัดเลือกรถยนต์ที่มีความโดดเด่นในแต่ละด้าน  ทั้งประเภทที่ผลิตในประเทศ และนำเข้า พร้อมทั้งให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริง เพื่อศึกษาเป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ให้เหมาะสมตามเป้าหมายของการใช้งาน

                    นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “โตโยต้ารู้สึกภาคภูมิใจ และขอขอบคุณะคณะผู้จัดงาน CAR & BIKE OF THE YEAR 2024 การได้รับรางวัลครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันในการพัฒนารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า ภายใต้หลักการ QDR ซึ่งหมายถึง Quality : คุณภาพ / Durability : ความทนทาน และ Reliability: ความไว้ใจได้ในการใช้งาน ที่เรายึดถือมาโดยตลอด เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) และการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนชาวไทยในทุกรูปแบบควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานความเป็นรถยนต์อันดับ 1 ของคนไทยตลอดไป

                    บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โดยศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมโตโยต้า จัดการแข่งขันทักษะนักเรียน นักศึกษา โครงการความร่วมมือทางวิชาการ T-TEP ครั้งที่ 26 ประจำปีการศึกษา 2566 ระหว่างวันที่ 15 – 16 กุมภาพันธ์ 2567 โดยได้รับเกียรติจาก ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นประธานในพิธีประกาศผลและมอบรางวัล

                    บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือทางวิชาการ Toyota Technical Education Program หรือ T-TEP ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยเริ่มดำเนินการในสาขาช่างเทคนิคใน พ.ศ.  2533 และได้ขยายเพิ่มไปยังสาขาช่างซ่อมตัวถังและสีรถยนต์ใน พ.ศ. 2537 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการเรียนการสอนในหลักสูตรวิชาช่างยนต์และหลักสูตรช่างซ่อมตัวถังและสีรถยนต์  ภายใต้วิทยาลัยในโครงการ ทั้งสิ้น 19 วิทยาลัย ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

                    ด้านผลการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการความร่วมมือทางวิชาการ T-TEP ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด  นับเป็นหนึ่งในโครงการหลักที่ถ่ายทอดความรู้ และสามารถผลิตบุคลากรที่มีทักษะความรู้ด้านยานยนต์ เข้าสู่ภาคแรงงานได้แล้วกว่า 2,000 คน

                    โดยแข่งขันทักษะนักเรียน นักศึกษา ภายใต้โครงการความร่วมมือทางวิชาการ T-TEP ครั้งที่ 26 ประจำปีการศึกษา 2566 ซึ่งมีผลการแข่งขันดังนี้

                    อันดับที่ประเภทช่างเทคนิคประเภทช่างซ่อมตัวถังรถยนต์ประเภทช่างซ่อมสีรถยนต์
                    1วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่วิทยาลัยเทคนิคสงขลาวิทยาลัยเทคนิคนครอุบลราชธานี
                    2วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลกวิทยาลัยเทคนิคนครอุบลราชธานีวิทยาลัยเทคนิคชุมพร
                    3วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมาวิทยาลัยเทคนิคนครโคราชวิทยาลัยเทคนิคสงขลา

                    บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คว้ารางวัล “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA” หรือ “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลมีเดีย” สาขากลุ่มธุรกิจรถยนต์ 4 ปีซ้อน (2021-2024) จากการประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS ครั้งที่ 12 โดยมี นายอภิสิทธิ์ กาบบัวลอย ผู้จัดการโครงการ ฝ่ายบริหารการตลาดและประชาสัมพันธ์ เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม ชั้น 7

                    THAILAND SOCIAL AWARDS เป็นงานประกาศรางวัลโซเชี่ยลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจัดโดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาซอฟแวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดชั้นนำของไทย จุดประสงค์ในการจัดงานเพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลมีเดีย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทย ผ่านการมอบรางวัลเพื่อส่งเสริม เชิดชูแบรนด์ที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และยกระดับวงการโซเชียลในสาขาต่างๆ

                    นายวัฒนา เจริญจิตร นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ  พลตรี ธวัช ชาลีรัตน์ รองเจ้ากรมพลาธิการทหารบก  และ นายสมคิด ประดิษฐกำจรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของโตโยต้า บริษัทในเครือฯ ผู้ผลิตชิ้นส่วนโตโยต้า ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ตลอดจนหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมปลูกพันธุ์ไม้ชายเลนจำนวน 50,000 ต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมาย สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใต้กิจกรรม “โตโยต้าปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17” ณ สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567

                    หนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของโตโยต้าคือการ สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)  ผ่านการจัดการ กระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การผลิตชิ้นส่วน การขนส่ง การผลิตในโรงงานการจำหน่าย จนถึงการกำจัดเมื่อหมดอายุการใช้งาน ควบคู่ไปกับ การเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง (Multi Pathways) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่สังคมไทย ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมถึง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมจำนวนกว่า 2,600,000 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 27,950* ตันต่อปี

                    โตโยต้า ปลูกป่าชายเลน เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 จากความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ กรมพลาธิการทหารบก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ มูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ FEED โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนบางปู ซึ่งเป็นป่าชายเลนปากแม่น้ำผืนสุดท้ายของภาคกลาง ให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีสภาพเหมาะแก่การอยู่อาศัยของสัตว์ในระบบนิเวศชายเลน และเป็นการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครจากภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างจิตสำนึกคนไทยให้ตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ

                    กิจกรรม โตโยต้า ปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17 ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครกว่า 2,000 คน ประกอบด้วย กลุ่มพนักงานโตโยต้าและครอบครัว สมาชิกชมรมโตโยต้าจิตอาสา ตัวแทนจากบริษัทในเครือ สมาชิกเครือข่าย Facebook Toyota Happiness Club  สมาชิก e-TOYOTACLUB  ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ผู้ผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดสมุทรปราการ กองทัพบก และประชาชน ที่มาร่วมแรงร่วมใจปลูกพันธุ์ไม้ชายเลน 50,000 ต้น ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาการดำเนินกิจกรรมที่ผ่านมา โตโยต้าได้ปลูกป่าชายเลนในพื้นที่บางปูไปแล้ว 792,800 ต้น

                    โตโยต้าเชื่อมั่นว่าการจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยความพยายามของคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกคน โดยกิจกรรมนี้ เป็นอีกหนึ่งในความพยายาม ภายใต้โครงการ “โตโยต้า เมืองสีเขียว” ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมทั่วประเทศ อาทิ โครงการชุมชนสิ่งแวดล้อมยั่งยืน เพื่อพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมอันเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนประเทศไทย มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050

                    นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดพร้อมด้วย นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบทุนการศึกษา แก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2566 โดยมี อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ พร้อมคณาจารย์ และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมแสดงความยินดี เมื่อวันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ณ อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                    บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา อันเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาเยาวชน ให้มีความรู้ความสามารถ และมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็น โตโยต้า จึงดำเนินธุรกิจควบคู่กับความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสังคมไทยไปสู่ความยั่งยืน รวมถึงเสริมสร้าง ความสุขของผู้คนในสังคมด้วยการแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาให้แก่นิสิต นักศึกษา ที่มีผลการเรียน และความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 51 ปี

                    โดยโตโยต้า ได้จัดกิจกรรมมอบทุนสนับสนุนแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 1,615 ทุน มูลค่า 21,522,000 บาท โดยในปีนี้ มีนิสิตเข้ารับทุนดังกล่าวจำนวน 12 ทุน มูลค่าทุนละ 80,000 บาท รวมทั้งหมดเป็นมูลค่า 960,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

                    คณะวิศวกรรมศาสตร์จำนวน 4 ทุน
                    คณะอักษรศาสตร์จำนวน 2 ทุน
                    คณะรัฐศาสตร์จำนวน 2 ทุน
                    คณะทันตแพทยศาสตร์จำนวน 1 ทุน
                    คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจำนวน 1 ทุน
                    คณะจิตวิทยาจำนวน 1 ทุน
                    คณะเศรษฐศาสตร์จำนวน 1 ทุน

                      โตโยต้า ยังคงมุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่นิสิต นักศึกษา ด้วยการ “สานโอกาสสร้างรอยยิ้ม” ส่งต่อโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างครอบคลุม และเท่าเทียม เพื่อให้นิสิตนักศึกษา ได้นำเอาทุนการศึกษาไปต่อยอดและพัฒนาศักยภาพของตนเอง รวมถึงเติบโตเป็นบุคลากรที่ดีมีคุณภาพ สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศชาติ และร่วมส่งต่อโอกาสทางการศึกษา อันจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้เข้าใกล้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ต่อไป

                      วิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์โตโยต้าจัดพิธีลงนามความร่วมมือโครงการความร่วมมือทางวิชาการและมอบทุนการศึกษาโดยได้รับเกียรติจากคุณวิรยศ พฤธากรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนาม ระหว่างวิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์โตโยต้ากับ บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม โดยมี คุณรุ่งโรจน์ ขันชะลี ประธานบริหารวิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์โตโยต้า และคุณณรงค์ชัย บัณฑิตวรภูมิ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด เป็นผู้ลงนามความร่วมมือ เมื่อวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องประชุม Camry บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด

                      บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ( MOU ) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษา ได้เข้าร่วมการฝึกงานที่ บริษัทสยามโตโยต้าอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์จากการปฏิบัติงาน และสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาที่มีผลการเรียนดี  เข้าศึกษาต่อในระดับ ปวส. ที่วิทยาลัยฯ รวมถึงมีโอกาสเข้าทำงานที่ บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรมหลังจบการศึกษา ซึ่งในพิธีลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม ได้มอบเครื่องยนต์ดีเซล 1GD จำนวน 5 เครื่อง เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนอีกด้วย

                      วิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์โตโยต้า  เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ( ปวส. )

                      จำนวน 3 สาขางาน ได้แก่

                      1. สาขางานเทคนิคยานยนต์อัจฉริยะ

                      2. สาขางานธุรกิจการบริการยานยนต์

                      3. สาขางานเทคนิคซ่อมตัวถังและสีรถยนต์

                      พิเศษในปีนี้ วิทยาลัยยังเปิดระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)  สาขาช่างยนต์อีกด้วย โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึง 9 มิถุนายน 2567 หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน

                      บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ บริษัท โตโยต้า อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด และ บริษัท ประกันภัย ภายใต้โครงการประกันภัยโตโยต้าแคร์ชั้นนำ เข้าร่วมพิธีลงนามความร่วมมือภายใต้โครงการประกันภัยโตโยต้าแคร์ ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ณ Alive Place เพื่อเป็นการยกระดับความเข้มแข็งของการดำเนินงานร่วมกันด้านธุรกิจประกันภัยรถยนต์ โดยมี

                      ผู้บริหารจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

                      คุณ ศุภกร รัตนวราหะ     รองกรรมการผู้จัดการใหญ่

                      คุณรุ่งโรจน์ ขันชะลี        ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่

                      ผู้บริหารจากบริษัท โตโยต้า อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด

                      คุณชัชวาลย์ โศภิษฐ์สกุลวงศ์       ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่

                      ผู้บริหารจากบริษัทประกันภัย ภายใต้โครงการประกันภัยโตโยต้าแคร์ ได้แก่

                      • บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
                      • บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)
                      • บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
                      • บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
                      • บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย
                      • บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)
                      • บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

                      โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างความมั่นใจกับลูกค้าภายใต้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยโตโยต้าแคร์ ด้วยมาตรฐานงานประกันภัย ทั้งคุณภาพงานซ่อม และการให้บริการประกันภัยเพื่อมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้ามากที่สุด ทั้งลูกค้ารถยนต์ใหม่ และ ลูกค้าที่ต่ออายุประกันภัย ในการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นกว่า ดังนี้

                      ขยายประกันภัยโตโยต้าแคร์ จากลูกค้าอายุรถ 5 ปี เป็น 8 ปี เพื่อให้ลูกค้าได้สามารถเลือกใช้ประกันภัยชั้น1 โตโยต้าแคร์ ได้ยาวนานขึ้น และเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การรถในเมืองไทย ซึ่งโดยเฉลี่ยการใช้รถยนต์ถึงเกือบ 10 ปี

                      ส่งต่องานซ่อมมาตรฐาน ปรับกระบวนการทำงานและส่งต่อร่วมกันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด  รวมถึงการพิจารณาอนุมัติซ่อมรถยนต์โดยใช้อะไหล่แท้โตโยต้า และมาตรฐานงานซ่อมที่ศูนย์บริการตัวถังและสีโตโยต้ากว่า 254 แห่งทั่วประเทศ

                      จากประสบการณ์ด้านการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กับพันธมิตรธุรกิจประกันภัย ที่ได้ริเริ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยโตโยต้า GOA ตั้งแต่ปี 2548 และได้มีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ จากประกันภัยโตโยต้า GOA เป็นประกันภัย โตโยต้า แคร์ ในปี 2556 พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ภายใต้ ประกันภัย โตโยต้า แคร์

                      • ปี 2561  โตโยต้าได้มีการแนะนำเทคโนโลยีConnect ของรถยนต์ เข้ากับผลิตภัณฑ์ประกันภัย ออกเป็น ประกันภัย Toyota CARE “รูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า PAYD หรือ Pay As You Drive  โดยทดลองร่วมกับ บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
                      •  ปี 2563  ทางโตโยต้าได้ยกระดับผลิตภัณฑ์ประกันภัย เป็น Toyota Care PHYD – Pay How You Drive โดยเริ่มทดลองร่วมกับ บริษัท ไอโออิ ฯ ในการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้บริการ และพัฒนาระบบ   ที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าเพื่อการขับขี่อย่างปลอดภัย และการคำนวณส่วนลดเบี้ยประกัน และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งมียอดกรมธรรม์ สูงถึง 200,000 กรมธรรม์ ในเวลาเพียง 2 ปี
                      • ปี 2566 จากความสำเร็จของการตอบรับผลิตภัณฑ์ประกันภัย Toyota Care PHYD – Pay How You Drive ทางโตโยต้าจึงได้ตอกย้ำความมั่นใจให้ผู้ใช้รถยนต์โตโยต้าโดยทำการ ขยายผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์โตโยต้าสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้มากยิ่งขึ้น  ได้แก่

                      > บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

                      > บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)

                      > บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

                      > บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)

                      > บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)

                      และจากนี้ บริษัท โตโยต้า และ บริษัท โตโยต้า อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จะยืนหยัดเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง กับบริษัท ประกันภัย ภายใต้โครงการประกันภัยโตโยต้าแคร์ทุกบริษัท โดยจะทำการมุ่งเน้นการให้บริการประกันภัยโตโยต้าแคร์ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งมอบให้ลูกค้าประทับใจและอุ่นใจในการขับขี่รถยนต์โตโยต้าทุกท่าน

                      สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

                      • ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ
                      • T-Connect Support Center 1486 พูดว่า “T-Connect”

                      บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะการขับขี่และการใช้งาน “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่” ซิตี้คาร์สปอร์ตแฮทช์แบ็ก 5 ประตูยอดนิยม ทั้งรุ่นระบบฟูลไฮบริด e:HEV และรุ่นขุมพลัง TURBO บนเส้นทางจากกรุงเทพฯ สู่พัทยา จังหวัดชลบุรี รวมระยะทางกว่า 355 กิโลเมตร สัมผัสกับดีไซน์ใหม่ที่อัปลุคสปอร์ตขึ้นอีกขั้น กับกระจังหน้า กันชนหน้า-กันชนหลัง และล้ออัลลอยในดีไซน์ใหม่ พิเศษกับสีภายนอกน้ำเงิน บริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำแบบ Two-tone ใหม่ เฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV SV ห้องโดยสารกว้างสบาย โดดเด่นด้วยเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR) ที่สามารถปรับพับเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้หลากหลาย ตอบรับกับทุกการใช้งาน มูฟไปกับ 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน ทั้งระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นจากจากการผสานพลังขับเคลื่อนหลักจากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยเกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ตอบสนองดั่งใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตร และให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ 27.8 กม./ลิตร และขุมพลัง VTEC TURBO 1.0 ลิตร ขับสนุกตอบสนองไลฟ์สไตล์ในทุกวัน เร้าใจด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้า มั่นใจในทุกการเดินทางกับ Honda SENSING ที่ติดตั้งในทุกรุ่นย่อย ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายอีกขั้นในการขับขี่ พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยอื่นๆ* อาทิ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch ที่เพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย* ที่พัฒนาการแสดงผลสีของหน้าจอให้คมชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งเชื่อมต่อและใช้งานง่าย  ใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง*  ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง*  ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ถุงลม 6 ตำแหน่ง* เป็นต้น

                      • รุ่นขุมพลังฟูลไฮบริด e:HEV มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย
                        • รุ่น e:HEV RS             ราคา 799,000 บาท
                        • รุ่น e:HEV SV             ราคา 729,000 บาท
                      • รุ่นขุมพลัง VTEC TURBO มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย
                        • รุ่น RS                       ราคา 749,000 บาท
                        • รุ่น SV                       ราคา 679,000 บาท
                        • รุ่น S+                       ราคา 599,000 บาท

                      โดยสีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่

                      • สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำทูโทน (Two-tone) ใหม่!
                        (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
                      • สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น RS และ e:HEV RS)
                      • สีขาวแพลทินัม (มุก) (เฉพาะรุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)
                      • สีดำคริสตัล (มุก)
                      • สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
                      • สีเทาโซนิค (มุก)
                      • สีขาวทาฟเฟต้า (เฉพาะรุ่น S+)

                      มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ*** ให้คุณเป็นเจ้าของ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ง่ายขึ้น เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 – 30 เมษายน 2567 ได้แก่

                      • รุ่น VTEC TURBO เลือกรับข้อเสนออย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
                        • ดอกเบี้ย 0%*** พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และฟรี Honda Ultimate Care (ฮอนด้า อัลติเมท แคร์)ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร ต่อจากการรับประกันคุณภาพรถใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร สิ้นสุด รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
                        • Double Smile Plus ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 29,950 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 5,484 บาท** พิเศษ! รับสิทธิ์ Honda Free Drive ขับฟรี 6 เดือน พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี เพิ่มเติมเฉพาะลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า (Honda Loyalty), ลูกค้า You’re the One, ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มอาชีพพิเศษ และลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่เข้าร่วมรายการ**
                      • รุ่นฟูลไฮบริด e:HEV เลือกรับข้อเสนออย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
                        • ดอกเบี้ย 0.99%*** พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี
                        • Double Smile Plus ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 36,450 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 6,674 บาท** พิเศษ! รับสิทธิ์ Honda Free Drive ขับฟรี 3 เดือน เพิ่มเติมเฉพาะลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า (Honda Loyalty), ลูกค้า You’re the One, ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มอาชีพพิเศษ และลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่เข้าร่วมรายการ**
                        • ทุกทางเลือก มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

                      ตลอดเส้นทางการทดสอบ สื่อมวลชนได้สัมผัสกับสมรรถนะการขับขี่และการตอบสนองของทั้ง 2 ขุมพลังที่ทรงพลังเกินคลาส กับอัตราเร่งที่แรง เร้าใจของทั้ง รุ่น e:HEV และรุ่น TURBO อีกทั้งอัตราการประหยัดน้ำมัน
                      ที่ดีเยี่ยม
                      มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้กังวลตลอดเส้นทาง พร้อมทดสอบการทำงานที่แม่นยำของ
                      Honda SENSING
                      บนเส้นทางการใช้งานจริงทั้งในแง่ของการขับขี่ ฟังก์ชัน และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาใน ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ อีกด้วย นับได้ว่าเป็นทริปที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกควบคู่กับความปลอดภัย ได้สัมผัสกับความคุ้มค่าเต็มขั้น มูฟสู่ทุกเส้นทางแบบไม่ตามใคร ใช้ชีวิตไม่ตามสูตรอย่างที่เป็นคุณได้อย่างแท้จริง

                      ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสและทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง www.honda.co.th/cityhatchback โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 30 เมษายน 2567 จะได้รับฟรี Happy Puffy Bag มูลค่า 250 บาท***

                      หมายเหตุ:

                      *อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

                      **ให้บริการสินเชื่อโดย บริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ ณ เวลาที่ยื่นขอสินเชื่อ ตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆเป็นไปตามที่ บริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

                      ***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

                      • สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท

                      นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ยอดนิยม เพื่อนำเสนอประสบการณ์การขับเคลื่อนที่มาพร้อมเทคโนโลยีและฟังก์ชันอำนวยความสะดวก มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ กับ “โคโรลล่า ครอส ใหม่” เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ลาน Eden ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

                      บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV รุ่น “โคโรลล่า ครอส” ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อพ.ศ. 2563 โดยเป็นรถที่ได้รับการออกแบบภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว และมีความแข็งแกร่ง ภายในห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยพื้นที่กว้างขวาง สะดวกสบายพร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระ ที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ซึ่งนับตั้งแต่การแนะนำโคโรลล่า ครอสนั้น ถือเป็นรถรุ่นที่ประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดีเสมอมา ด้วยยอดขายสะสมที่ 71,160 คัน ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2563 ถึง เดือน ธันวาคม ปี 2566

                      สำหรับโคโรลล่า ครอสใหม่ ได้มีการปรับปรุงในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบประสบการณ์ในการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า โดยดีไซน์ใหม่นี้ เป็นการเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลก ด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบ “Multi-Dimensional Design” ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp และ ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential   เหนือระดับ ด้วยหลังคา Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาอิสระ ทั้งยังมาพร้อมกับการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และช่องต่อ USB แบบ type C โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ Parking Support Brake, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° View, สัญญาณเตือนกะระยะ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ รวมทั้ง ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold  อีกด้วย

                      มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ว่า “ ในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต้องเผชิญความยากลำบากและการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 9% โดยเฉพาะเซกเมนต์รถกระบะที่ลดลงถึง 32% ในขณะที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนได้เข้าสู่ตลาด และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ถึง 11% ซึ่งภายใต้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว สัดส่วนการขายของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 10% อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว โตโยต้ายังคงมีรถหลายรุ่น ได้แก่ คัมรี ฟอร์จูนเนอร์ เวลอซ และไฮเอซ ที่เป็นผู้นำในเซกเมนต์ต่างๆ นอกจากนั้น ยาริสและเอทีฟก็สามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในเซกเมนต์อีโคคาร์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 45% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา สำหรับเซกเมนต์รถเอนกประสงค์ SUV โตโยต้ากลับมาครองยอดขายสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหลังจากการแนะนำยาริส ครอส รวมถึง รถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% เป็นสัดส่วนที่สูงสุดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าอยู่ที่ 34.3% สูงที่สุดนับตั้งแต่พ.ศ. 2558 และสูงกว่า พ.ศ. 2565 ที่ 0.3% ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่ได้ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของโตโยต้าเป็นอย่างดีเสมอมา

                      ทั้งนี้เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยโตโยต้ายังคงมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งความหลากหลายของลูกค้า การใช้งาน ข้อจำกัดในแต่ละภูมิประเทศ อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพถนน ข้อจำกัดทางด้านพลังงาน เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โตโยต้ามีความต้องการที่จะมุ่งเติมเต็มชีวิตของผู้คน และนำมาซึ่งรอยยิ้มของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เราจึงเลือกกลยุทธ์ Multiple Pathway ตามปรัชญา “Mobility for All” โดยที่จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (No One leaves behind)

                      โดยในปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ในประเทศไทยได้เติบโตแบบก้าวกระโดด  อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เติบโตขึ้น และยังกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าชาวไทย สำหรับประเภทรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ด้วยเหตุผลที่สามารถใช้งานได้จริงอย่างเหมาะสม ลูกค้ามีความอุ่นใจขณะใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ  รวมไปถึงมีมูลค่าในการขายต่อที่ดี โดยในปีที่แล้ว ส่วนแบ่งตลาดของรถไฮบริด อยู่ที่มากกว่า 12% และในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 17%

                      มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

                      อีกหนึ่งกระแสสำคัญในประเทศไทย คือ ความนิยมในรถยนต์ประเภท SUV โดยในปีที่แล้วนั้น ส่วนแบ่งตลาดของ SUV เพิ่มขึ้นที่ 38% แม้ว่าตลาดรถยนต์รวมจะหดตัวลง 9% ทั้งนี้เนื่องมาจากประโยชน์ใช้สอยของรถ SUV เอง ที่สามารถตอบสนองรูปแบบการใช้งานอันหลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันในรูปแบบคนเมือง จนถึงการออกไปใช้ชีวิตแบบผจญภัยในช่วงวันหยุด  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อความสำเร็จในประเทศไทยต่อไป และนำรอยยิ้มของลูกค้าชาวไทยมาให้มากขึ้น และนี่คือการเปิดตัวรอบ World Premiere ของ Corolla Cross ใหม่ ที่ได้รับการอัพเกรด เพื่อมอบความพรีเมี่ยม เหนือระดับ ด้วยการออกแบบภายนอกที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานของสเปกที่ต้องการ ซึ่งผมหวังอย่างยิ่งว่า โคโรลล่า ครอส ใหม่ จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี เหมือนดังเช่นเคย”

                      “ดีไซน์ภายนอก มีการปรับภายใต้คอนเซปต์ Urban x Premium ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ใช้งานในเมือง ด้วยไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp มาพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential ดูหรูหรา ล้ำสมัย และให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ กันชนหน้า และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Multi-dimensional ที่ทำให้ตัวรถดูกว้าง ทันสมัย และทรงพลัง ล้ออัลลอยสีทูโทน ดีไซน์ใหม่”

                      “ภายในปรับเปลี่ยนให้มีความพรีเมียมยิ่งขึ้น ด้วยสีภายในแบบทูโทน มีทั้งหมด 2 สี คือสีดำ และสีใหม่ สี Dark Rose ให้ความรู้สึกหรูหรา เหนือระดับ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Frameless Panoramic Roof ขนาดใหญ่ พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า EPB มาตรวัดแบบ Full Digital พร้อมจอแสดงผลข้อมูลขับขี่ ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลากหลาย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และอุปกรณ์ ชาร์จไฟแบบไร้สาย”

                      “ด้านความปลอดภัย รุ่น HEV ทุกรุ่นติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมกับ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed พร้อม Stop & Go ลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่ง และเร่งกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้ เมื่อคันหน้าเคลื่อนตัว  กล้องมองรอบคัน PVM ให้ภาพที่เคลียร์ชัด ที่มากับระบบ PKSB ช่วยเตือนขณะจอดรถ   พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ ทำให้การจอดรถในทุกทิศทาง 360 องศา ทำได้ง่าย และปลอดภัย ติดตั้งระบบเตือนมุมอับสายตา BSM และช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย”

                      “ด้านสมรรถนะการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และ เครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร มีพละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งาน พร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กม.ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่างถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานตัวถัง TNGA ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล และมั่นใจ”

                      “ในรุ่นใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี พร้อมกับสีใหม่อย่าง Cement Gray Metallic ที่หรูหรา และทันสมัย ด้วยการปรับปรุงในครั้งนี้ เรามั่นใจว่า Corolla Cross จะสามารถตอบโจทย์ และพร้อมพาลูกค้าทุกท่าน ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกครั้ง”

                      นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่า “ในปีที่ผ่านมา เราได้มีการแนะนำ YARIS CROSS ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเต็มที่ในทุกด้าน และในปีนี้ เพื่อให้ Corolla Cross เป็นยนตรกรรมที่สามารถตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งเป็น “ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Corolla Cross ใหม่ จึงได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นเดิม ให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์แบบมากขึ้นในหลายๆ ด้าน”

                      “Corolla Cross ใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคอนเซปท์ “Complete your life ตอบ…ทุกความหมายชีวิต” โดยเรามีพรีเซนเตอร์ครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มลูกค้า Corolla Cross ที่ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ กับครอบครัว”

                      “โดยเราวางเป้าหมายการขายของ Corolla Cross ใหม่ ไว้ที่ 1,500 คันต่อเดือน และจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป”

                      นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

                      สีภายนอก

                      รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium และ 1.8 Sport Plus

                      • ใหม่! สีเทา Cement Gray Metallic                       
                      • สีเทา Celestite Gray Metallic
                      • สีขาว Platinum White Pearl
                      • สีเงิน Metal Stream Metallic
                      • สีดำ Attitude Black Mica

                      รุ่น HEV GR Sport

                      • สีขาว Platinum White Pearl พร้อมหลังคาดำ
                      • สีแดง Red Mica Metallic พร้อมหลังคาดำ
                      • สีดำ Attitude Black Mica

                      สีภายใน

                      • ใหม่! สี Dark Rose 

                      เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Platinum White Pearl, สี Celestite Gray Metallic, สี Attitude Black Mica

                      • สี Black

                      เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Cement Gray Metallic และ สี Metal Stream Metallic และรุ่น 1.8 Sport Plus

                      • สี GR Sport Black

                      เฉพาะรุ่น GR Sport

                      เป็นเจ้าของ โคโรลล่า ครอส ใหม่ วันนี้ รับข้อเสนอสุดพิเศษ!

                      •  ดอกเบี้ยพิเศษ ช่วงแนะนำ เริ่มต้นเพียง 1.79%* (ดาวน์ 25%, 48 เดือน) พร้อมประกันภัยชั้น 1 PHYD รวมทั้งข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าปัจจุบันของโตโยต้า ด้วยส่วนลดดอกเบี้ย 0.3%
                      • สะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายกับเทคโนโลยี Connected ทั้งด้านประกันภัย การบำรุงรักษา และ การสะสมคะแนนแลกสิทธิพิเศษมากมาย

                      สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด เกียร์อัตโนมัติ

                      HEV GR-Sportราคา  1,254,000 บาท**
                      HEV Premium Luxury ราคา  1,204,000 บาท**
                      HEV Premium     ราคา  1,094,000 บาท**

                        สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เกียร์อัตโนมัติ

                        • 1.8 Sport Plus           ราคา           999,000 บาท**

                        *สำหรับสีพิเศษ

                        รุ่น GR-Sport สี Platinum White Pearl พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 15,000 บาท, สี Red Mica Metallic พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 10,000 บาท

                        รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium, 1.8 Sport Plus สี Platinum White Pearl และ Cement Gray Metallic เพิ่ม 10,000 บาท

                        **ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม

                        เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

                        COMPLETE YOUR LIFE ตอบ…ทุกความหมายชีวิต”

                        ได้ที่งาน “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH ELEGANCE”

                        ที่ CENTRAL WORLD ชั้น 1 โซน EDEN ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์

                        สนุกกับกิจกรรมเปิดตัวสุดพิเศษ “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH LOVE”

                        ณ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์

                        พบกิจกรรมทดลองขับพร้อมรับของที่ระลึกกระเป๋าอเนกประสงค์ (จำนวนจำกัด)

                        และสามารถสัมผัสโคโรลล่า ครอส ใหม่ ได้ที่ TOYOTA ALIVE บางนา

                        ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป   

                        ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่

                        https://www.toyota.co.th/ Facebook: Toyota Motor Thailand

                        LINE ID: @ToyotaThailand  TikTok: @ToyotaMotorTHX(Twitter): @ToyotaMotorTH Instagram: @toyotamotorthailandofficial         

                        โตโยต้าร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยคว้าแชมป์ การแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ระดับนานาชาติ “ปรินเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูปเปอร์ 300  ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสมระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,240,000 บาท ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ปทุมวัน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์

                        นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวในการแถลงข่าวว่าในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของรายการ โตโยต้ามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันไทย และต้องขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของนักกีฬาและทีมผู้ฝึกสอนที่ทำผลงานและคว้าแชมป์ในครั้งนี้ ซึ่งผมได้เห็นถึงความพยายามอย่างหนัก ความตั้งใจในการฝึกฝนจนทำให้นักกีฬาสามารถเอาชนะและสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อมอบความสุขให้กับแฟนกีฬาแบดมินตันไทยอีกครั้ง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยให้หันมาสนใจเล่นกีฬาแบดมินตันให้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญผมขอขอบคุณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้ให้โอกาส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ในการเป็นผู้สนับสนุนหลักสำหรับการจัดการแข่งขัน “ปริ๊สเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” ครั้งนี้”

                        มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) เปิดตัวรถยนต์ระบบขับเคลื่อน ฟูลไฮบริด ใหม่! เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ครั้งแรกของโลก โดยเป็นครั้งแรกของรถยนต์ครอบครัว 7 ที่นั่งขนาดเล็กในประเทศไทยที่มาพร้อมกับระบบฟูลไฮบริด ซึ่งผสานการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ไว้อย่างลงตัวที่สุด ชูจุดเด่น 3 สุดยอดเทคโนโลยีจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ใหม่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทาง แบบ Mitsubishi e:MOTION พร้อมเดินหน้ารุกตลาดและเริ่มจำหน่ายในไทยทันที โดยรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดทั้งสองรุ่นนี้ จะผลิตขึ้นในไทย โดยบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ณ โรงงานผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง

                        รถยนต์เอ็กซ์แพนเดอร์ ผสานความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์ในการใช้งานแบบรถครอบครัวเอนกประสงค์ 7 ที่นั่ง เข้ากับรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่แบบรถเอสยูวี ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งยนตรกรรมรุ่นนี้เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 2560 ก่อนที่จะขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ขณะที่ รถยนต์เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ได้รับการเปิดตัวตามมาในปี 2562 ทั้งนี้ ยานยนต์ตระกูลเอ็กซ์แพนเดอร์ นับเป็นยนตรกรรมรุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ขับเคลื่อนการเติบโตให้กับบริษัทฯ ด้วยยอดขายรวมกว่า 130,000 คัน1 ทั่วโลก ในปีงบประมาณ 2565 ถือเป็นรุ่นที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ต่อจากมิตซูบิชิ ไทรทัน2 และมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ โดยมียอดขายสะสมรวมสูงกว่า 650,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรก และเฉพาะในประเทศไทย ยานยนต์ตระกูลเอ็กซ์แพนเดอร์ มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้นสูงกว่า 64,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2561

                        รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดรุ่นใหม่ทั้งสองรุ่นนี้ ได้ผสานระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบควบคุมการขับเคลื่อน อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างมิติใหม่แห่งประสบการณ์การขับขี่ที่เปี่ยมพลัง โดดเด่นเหนือระดับ โดยระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดใน เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี  และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ด้วยการต่อยอดจากระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) เพื่อมอบสุนทรียภาพแห่งการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งอัดแน่นด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ที่ทำงานสอดผสานอย่างลงตัวกับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เพื่อมอบความปลอดภัยและความมั่นใจในการขับขี่ ด้วยสมรรถนะการควบคุมรถที่เหนือชั้น พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะการเกาะถนน และช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างง่ายดายและคล่องตัวบนทุกสภาพถนนและทุกสภาพอากาศ ทั้งนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่เป็น EV Priority ได้ตามต้องการ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ อาทิ ต้องการเดินทางอย่างเงียบสงบ หรือเคลื่อนตัวได้โดยไม่สร้างเสียงรบกวนในหมู่บ้านยามเช้าตรู่

                        Mitsubishi e:MOTION ประสบการณ์ขับขี่ใหม่เหนือระดับ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทาง โดยผสานการทำงานอย่างสมบูรณ์ของ 3 สุดยอดเทคโนโลยีจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้แก่

                        • ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)
                        • โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน
                        • ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจ ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง

                        รถยนต์เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! ยังโดดเด่นเหนือระดับยิ่งกว่าเดิม ด้วยพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม ตอบโจทย์การเดินทางกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน พร้อมดีไซน์ภายนอกสุดเท่ อันเป็นเอกลักษณ์

                        ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)

                        ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอชอีวี ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วยรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) รูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด และระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรกหรือ Regenerative Braking จึงโดดเด่นในด้านอัตราประหยัดน้ำมัน พร้อมมอบความสนุกแห่งการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถปรับเข้าสู่รูปแบบการขับขี่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่ และพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่ ณ ขณะนั้น

                        เมื่อเริ่มออกตัว และขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เป็นรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) (แผนภาพที่ 1) ทำให้สามารถขับขี่ด้วยด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ จากนั้น ในขณะที่ขับรถขึ้นเนินที่ลาดชันหรือในขณะที่เร่งความเร็ว ระบบจะทำการปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบการขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด โดยใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ได้รับการปั่นไฟฟ้าให้เกิดพลังงานจากเครื่องยนต์ (แผนภาพที่ 2) และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังขับเคลื่อน (แผนภาพที่ 3) เนื่องจากเครื่องยนต์เริ่มทำงานอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก ผู้ขับขี่จึงสามารถเพลิดเพลินกับสุนทรียภาพแห่งการเดินทางอันรื่นรมย์ สะดวกสบายแม้ในรูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด ขณะที่เมื่อชะลอความเร็ว ตัวรถจะเข้าสู่รูปแบบ Regenerative Braking ซึ่งเป็นระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรก จึงสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าเพื่อเก็บสำรองพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ (แผนภาพที่ 4) ทั้งนี้ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) จึงมอบการขับขี่ที่เงียบสงบและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในแบบของรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องพึ่งน้ำมันเชื้อเพลิง และปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปพร้อมๆ กับการมอบการขับขี่ที่สะดวกสบายในแบบของรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ที่ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินไปกับการขับขี่ทางไกล โดยไม่ต้องกังวลถึงพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่

                        ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด มอบอัตราเร่งที่ทรงพลัง ไหลลื่นไม่มีสะดุด ตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์ พร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC โดยมีแบตเตอรี่ขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและแบตเตอรี่ตอบสนองต่อแรงบิด 255 นิวตันเมตรได้อย่างรวดเร็วเมื่อออกตัว และให้อัตราเร่งที่ทันใจเมื่อกดคันเร่ง ผู้ขับขี่จึงสามารถเปลี่ยนเลนบนทางด่วนได้อย่างราบรื่นไร้กังวล และกลับรถบนถนนในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นได้อย่างสะดวกง่ายดาย

                        เครื่องยนต์เบนซินที่ได้รับการพัฒนาใหม่ขนาด 1.6 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว4 มีอัตราส่วนการขยายตัวสูง (วงจร Atkinson) พร้อมกับมีประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่สูงกว่าด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในเครื่องยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมคอมเพรสเซอร์แอร์ไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียทางกล ช่วยเสริมให้อัตราประหยัดน้ำมันของเครื่องยนต์ดีขึ้น กว่าเดิมราวร้อยละ 34 สำหรับการขับขี่ในเมือง และให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นกว่าเดิมราวร้อยละ 15 สำหรับการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง เมื่อดำเนินการทดสอบตามมาตรฐานการวัดระยะทางรถยนต์ไฟฟ้าแบบ NEDC

                        โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)

                        โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน ไปได้ทุกที่ตามต้องการ

                        โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วย โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมดและอีก 5 โหมดสำหรับพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างกันตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ เพื่อสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ

                        ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมด ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ ซึ่งประกอบด้วย EV Priority Mode ที่ขับเคลื่อนรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ โดยปราศจากการทำงานของเครื่องยนต์ โหมดนี้ทำงานอย่างเงียบสงบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังช่วยให้ผู้ขับขี่หมดกังวลเรื่องเสียงรบกวนเมื่อขับขี่ในหมู่บ้านยามเช้าตรู่ หากพลังงานแบตเตอรี่เหลือน้อย ผู้ขับขี่สามารถปรับเข้าสู่ Charge Mode เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ทุกเวลา ทั้งในขณะที่ตัวรถกำลังเคลื่อนที่หรือขณะหยุดนิ่ง เพื่อให้สามารถกลับมาสนุกกับการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกครั้ง

                        โหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบ ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำบนพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างหลากหลายตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยพัฒนาระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าให้ดียิ่งกว่ารุ่นเดิม ผสานกับระบบควบคุมการขับขี่ต่างๆ ทั้งระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ซึ่งเป็นการควบคุมแรงเบรกระหว่างล้อหน้าด้านซ้ายและด้านขวาให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่  ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (Traction Control System: TCL) ที่ช่วยตรวจจับอาการลื่นไถลของล้อหน้าและควบคุมพละกำลังการขับเคลื่อน  ระบบควบคุมอัตราเร่ง (Acceleration Control) ที่ช่วยปรับกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ทำงานสอดประสานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีการกดคันเร่ง  และระบบควบคุมน้ำหนักพวงมาลัย (Steering Control) ที่ช่วยปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้ตอบสนองได้ดั่งใจตามความเร็วและสภาพพื้นผิวถนน 

                        โดยมีรายละเอียดดังนี้

                        • Normal Mode เป็นโหมดที่สมดุลและเหมาะสมที่สุดสำหรับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
                        • Wet Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น โดยช่วยป้องกันการลื่นไถล ให้การควบคุมที่มั่นใจและเกาะถนนเป็นเลิศแม้ขณะฝนตกหนัก
                        • Gravel Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางทางลูกรัง เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่นและขรุขระ
                        • Tarmac Mode เหมาะกับการขับขี่บนถนนลาดยาง ที่ให้พละกำลังและการควบคุมการขับขี่ที่คล่องตัว มั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ แม้บนถนนที่คดเคี้ยว
                        • Mud Mode ทางโคลน เพิ่มการตอบสนองและการควบคุมที่ทรงพลังบนถนนดินโคลนสมบุกสมบัน

                        โหมดการขับขี่ทุกรูปแบบสร้างขึ้นเพื่อมอบความปลอดภัยและสะดวกสบายบนทุกสภาพถนนและสภาพอากาศ ซึ่งผู้ขับขี่ต้องพบเจอเป็นประจำ

                        ภายในห้องโดยสาร โดดเด่นสะดุดตาด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว เพื่อการแสดงข้อมูลที่หลากหลายและใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยจะแสดงข้อมูลสำคัญเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด อาทิ แสดงรูปแบบการขับขี่ที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์การขับขี่และอัตราเร่ง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงาน อัตราการประหยัดพลังงานเมื่อขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) ระดับพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่ และข้อมูลอื่น ๆ ทั้งนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ จะมีการแสดงภาพกราฟฟิกกลางหน้าจอเพื่อแจ้งโหมดการขับขี่ที่กำลังทำงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกการแสดงผลหน้าจอได้ตามความต้องการ ระหว่าง แบบ Enhanced Mode ที่ล้ำสมัย หรือแบบ Classic Mode ที่ถอดแบบมาจากมาตรวัดระบบอนาล็อก

                        รถยนต์เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่ ! โดดเด่นเหนือระดับยิ่งกว่าเดิม ด้วยพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม ตอบโจทย์การเดินทางกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน พร้อมดีไซน์ภายนอกสุดเท่ อันเป็นเอกลักษณ์

                        รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! ให้ความสำคัญกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าในแบบรถยนต์ไฟฟ้า จึงมุ่งเน้นการขับขี่ที่เงียบสงบ ผ่อนคลาย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ด้วยการเพิ่มวัสดุกันเสียงและดูดซับเสียงรบกวนในจุดสำคัญต่างๆ ทั่วตัวรถ เสริมความเงียบสงบภายในห้องโดยสารได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เพียงขณะขับขี่ในรูปแบบ EV แต่รวมถึงขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน ทั้งในขณะที่เร่งความเร็วหรือขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลายและสามารถเพลิดเพลินกับการพูดคุย โดยปราศจากเสียงรบกวนได้ตลอดการเดินทาง ทั้งยังโดดเด่นด้วยดีไซน์หัวเกียร์ใหม่แบบ Electric Shift ที่มาพร้อมเทคโนโลยีระบบเกียร์ไฟฟ้า (Shift-by-Wire) อันทันสมัย เพิ่มความสะดวกสบาย ใช้งานได้ง่าย

                        เพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ชุดแบตเตอรี่ขับเคลื่อนจึงได้รับการติดตั้งไว้ใต้พื้นบริเวณเบาะนั่งคู่หน้า จึงทำให้รถยนต์ตระกูลเอ็กซ์แพนเดอร์ ยังคงมีพื้นที่ห้องโดยสารภายในที่กว้างขวาง ด้วยเบาะนั่ง 3 แถว ซึ่งกว้างขวางที่สุดในบรรดารถยนต์ระดับเดียวกัน พร้อมรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง ด้วยขนาดตัวถังที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางในเมือง อีกทั้งห้องเครื่องยนต์และบริเวณรอบชุดแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยชุดแบตเตอรี่ยังได้รับการปกป้องด้วยคานรับด้านหน้าและคานขวางด้านหน้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทานของตัวถัง พร้อมด้วยการพัฒนาช่วงล่างและระบบกันสะเทือนใหม่ทั้งหมดเป็นพิเศษ ที่ทำให้รถยนต์ระบบขับเคลื่อนไฮบริดรุ่นนี้มีเสถียรภาพการขับขี่ที่เหนือชั้นและความสะดวกสบายที่เป็นเลิศ ประสิทธิภาพของระบบเบรกยังได้รับการปรับปรุงใหม่ ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นและชะลอความเร็วอย่างมั่นใจ ด้วยดิสก์เบรกครบทั้ง 4 ล้อ

                        ภายนอกตัวรถ โดดเด่นด้วยโลโก้ “HEV” ที่กระจังหน้าและฝาประตูท้าย พร้อมด้วยโลโก้ “HYBRID EV” ที่ประตูหน้า และการตกแต่งด้วยเส้นสายสีน้ำเงินที่กันชนหน้า กาบข้างประตู กันชนหลัง และล้ออัลลอยแบบทูโทนทั้ง 4 ล้อ สีตัวถังมีให้เลือกหลากหลาย มาพร้อมด้วยสีใหม่ล่าสุดที่เพิ่มจากรุ่นก่อน คือ สีขาว White Diamond ช่วยสะท้อนถึงความพรีเมียม และนิยามความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ดูสะอาดตาของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ให้ความรู้สึกทั้งแข็งแกร่งและโดดเด่นเป็นประกาย ร่วมด้วยสีที่โดดเด่นสะดุดตา อย่าง สีเงิน Blade Silver Metallic สีเทา Graphite Gray Metallic และสีดำ Jet Black Mica รวมถึงสีเขียว Green Bronze Metallic ที่เป็นสีพิเศษเฉพาะของรุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี

                        โดยในโอกาสเฉลิมฉลองการเปิดตัวใหม่นี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมมอบราคาพิเศษช่วงแนะนำ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2567 เพื่อเป็นของขวัญให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ ที่รักทุกท่าน โดยมิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 912,000 บาท ขณะที่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 946,000 บาท ซึ่งมีราคาจำหน่ายเท่ากับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน

                        หลังจากช่วงเวลาพิเศษ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ใหม่! จะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 933,000 บาท และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 961,000 บาท ซึ่งมีราคาที่ไม่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน

                        นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมอบข้อเสนอสุดพิเศษ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ตร้า แคร์ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านสามารถครอบครองและขับขี่รถทั้งสองรุ่นใหม่นี้โดยไม่ต้องกังวล ได้แก่

                        • การรับประกันคุณภาพรถใหม่ ตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
                        • แพ็กเกจบำรุงรักษานาน 5 ปี
                        • ฟรีค่าแรงสำหรับการเช็คระยะตลอด 5 ปี
                        • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงนาน 5 ปี
                        • พร้อมกับประกันภัยชั้น 1 ฟรีหนึ่งปี
                        • เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด บริษัทฯ จึงขยายการรับประกันระบบขับเคลื่อนไฮบริด ยาวนานถึง 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
                        • และขยายการรับประกันพิเศษสำหรับแบตเตอรี่ขับเคลื่อนไฮบริดในปีที่ 6-10 โดยไม่จำกัดระยะทาง

                        นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอสุดพิเศษให้ลูกค้าทุกท่านเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งสองรุ่นได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยดอกเบี้ยพิเศษ 0% สำหรับการดาวน์ 25% และผ่อนนาน 48 เดือน

                        ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือทดลองขับได้แล้ววันนี้ ที่โชว์รูมผู้จัดจำหน่ายมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ทั่วประเทศ และพบกับกิจกรรมพิเศษที่โชว์รูมทั่วประเทศได้ระหว่างวันที่ 3 – 4 กุมภาพันธ์ 2567 นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่นี้ เริ่มจากในกรุงเทพฯ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ระหว่างวันที่ 2 – 4 กุมภาพันธ์ 2567 ตามมาด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือ โดยจะมีการประกาศแจ้งวัน-เวลา-สถานที่จัดงานในแต่ละภูมิภาคในช่องทางการสื่อสารโซเชียลมีเดีย ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

                        ขอเชิญลูกค้าและผู้สนใจ ร่วมสัมผัสมิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่ ! และสนุกกับประสบการณ์การขับขี่ใหม่เหนือระดับ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทางไปกับ Mitsubishi e:MOTION

                        1. ยอดขายรวมทั้งหมดของเอ็กซ์แพนเดอร์ และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส

                        2. จำหน่ายในชื่อ L200 ในบางประเทศและภูมิภาค

                        3. สเปกและคุณสมบัติของรถอาจแตกต่างไปตามรุ่นย่อยและตลาดที่จำหน่าย

                        4. MIVEC (Mitsubishi Innovative Valve timing Electronic Control system) เป็นชื่อของระบบวาล์วแปรผันของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส  

                        บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ เริ่มต้นที่ 1,125,000 บาท พร้อมเปิดให้ลูกค้าจองได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และเตรียมส่งมอบรถล็อตแรกในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้

                        ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมเอาชนะทุกอุปสรรคด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู (Super Select 4WD II) อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (Full-Time All Wheel Control) ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ (4H) ได้ทันทีแม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly) แตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและพื้นผิวถนนทุกรูปแบบด้วย 7 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัดเชื้อเพลิงและรักษ์โลก (Eco), โหมดขับขี่บนทางลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel), โหมดขับขี่บนพื้นหิมะหรือขณะฝนตกผิวถนนเปียกลื่น (Snow), โหมดขับขี่ลุยโคลนหรือผิวทางที่เหนียวลื่น (Mud), โหมดขับขี่ตะลุยทรายหรือผิวทางที่ดินร่วน (Sand) และโหมดไต่หินหรือขับขี่บนผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock)

                        ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อและขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู” (Hyper Power X2) ซึ่งมีระบบเทอร์โบสองสเตจ (Two-stage Turbocharger) พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร พร้อมระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS) ช่วยให้ขับขี่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ

                        ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “บีสต์ โหมด” (BEAST MODE) สำหรับผู้ชื่นชอบการผจญภัยพร้อมไลฟ์สไตล์แบบพรีเมียม ที่ผสานความปราดเปรียวสไตล์สปอร์ตสุดล้ำ เข้ากับการออกแบบที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ที่หลายคนรอคอยพร้อมแล้วที่จะสะกดทุกสายตาของผู้ชื่นชอบรถกระบะ ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่นสะดุดตา สะท้อนความบึกบึนและทรงพลังในแบบฉบับรถกระบะที่แท้จริง การันตีด้วยรางวัลออกแบบยอดเยี่ยม หรือ Good Design Award 2023 จัดโดยสถาบันส่งเสริมการออกแบบแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Institute of Design Promotion) พร้อมตอกย้ำความเท่ด้วยตัวถังสีพิเศษ สีส้ม Yamabuki Orange Metallic ที่เป็นสีเฉพาะของรุ่นแอทลีท ลีท มอบความโดดเด่นที่ดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนน ร่วมด้วยสีตัวถังอื่นๆ ที่โดนใจ ได้แก่ สีดำ Jet Black Mica สีเทา Graphite Grey และสีขาว White Diamond และภายในห้องโดยสารที่ยังคงดีไซน์สปอร์ตด้วยการตกแต่งทูโทนสีส้ม-ดำ

                        นอกจากนี้ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ยังได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีมิตซูบิชิ คอนเนค (MITSUBISHI  CONNECT) ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน “My MITSUBISHI CONNECT” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งการตัวรถแบบไร้สายได้จากระยะไกล ใช้งานง่าย ทั้งการเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร การล็อกและปลดล็อกประตูรถ การเปิดไฟหน้า การกดแตรรถ และการค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวรถ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลสถานะตัวรถ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือและระยะทางที่วิ่งต่อได้ ความดันลมยาง มีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่น ๆ อาทิ บริการช่วยเหลือบนถนน (Roadside Assistance)  การแจ้งอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ การช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Assistance) และอุ่นใจตลอดเส้นทางด้วยระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call)

                        ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท มาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ไดมอนด์ เซนส์ ทีมีระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ  (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control) อันชาญฉลาด ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA)  ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM) ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI ได้รอบคัน เพื่อความปลอดภัยแบบ 360 องศา ทั้งยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ได้ง่ายดายควบคุมรถได้ดังใจ อาทิ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) ระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้ายแบบควบคุมด้วยเบรก (Active LSD) เสริมด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

                        ออล-นิว  มิตซูบิชิ ไทรทัน มาพร้อมระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE (Reinforced Impact Safety Evolution)  ที่มีความแข็งแกร่งสูง สามารถรองรับแรงปะทะและลดการเปลี่ยนแปลงสภาพของห้องโดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด ออล-นิว  มิตซูบิชิ ไทรทัน ทุกรุ่นย่อยจึงได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาว จากการทดสอบการชนของรถยนต์ใหม่ โดย อาเซียน เอ็นแคป (2023 ASEAN NCAP)

                        ราคาจำหน่ายออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นท็อปที่คุณสัมผัสได้แบบสุดคุ้ม ดังนี้:

                        • ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท  รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,125,000 บาท
                        • ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท  รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,298,000 บาท

                        (สำหรับสีขาว White Diamond เพิ่ม 10,000 บาท ในทั้ง 2 รุ่น)

                        สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายเพื่อทดลองขับได้ที่ www.mitsubishi-motors.co.th หรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 เปิดรับสายทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง