“คีโตเจนิค ไดเอต (Ketogenic Diet)” คืออะไร???

เรื่องลดความอ้วนของผู้หญิง เป็นเหมือนปัญหาโลกแตก ทำมาก็หลายวิธีแต่ทำไมไม่ผอมสักที วันนี้เรามีอีกหนึ่งวิธี ที่เค้าว่าเด็ดและได้ผลมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ วิธีที่ว่านี้คือ การลดความอ้วนด้วยวิธี คีโตเจนิค ไดเอต (Ketogenic Diet) เราไปทำความรู้จักวิธีนี้กันค่ะ

1.คีโตเจนิค ไดเอต (Ketogenic Diet) คืออะไร

 

คีโตเจนิค ไดเอต คือ การลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต หรืออาหารประเภทแป้งและน้ำตาลให้น้อยที่สุด เน้นกินอาหารประเภทไขมันดีให้ได้ร้อยละ 75-80 ควบคู่ไปกับอาหารหมู่โปรตีน เพื่อปรับการทำงานของระบบเผาผลาญพลังงาน ถือเป็นการปรับให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะเลียนแบบการอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล สูตรไดเอตนี้ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู แต่ในปัจจุบันนี้สูตรลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิค ไดเอตนี้ก็ได้กลายเป็นที่นิยมของนักเล่นกล้ามด้วย

2.สูตรไดเอตแบบคีโตเจนิค ให้ผลกับร่างกายอย่างไร

สูตรการไดเอตแบบคีโตเจนิคดีต่อร่างกายตรงที่ร่างกายจะดึงเอาไขมันที่สะสมไว้ไปเผาผลาญเป็นพลังงานแทนการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน และเมื่อร่างกายเกิดการดึงไขมันส่วนเกินไปใช้เผาผลาญแทนน้ำตาล ตับก็จะไม่หลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาล ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพคีโตน (Ketone) หรือสภาวะเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาล ผลคือ เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ อีกทั้งยังช่วยให้น้ำหนักตัวและไขมันส่วนเกินในร่างกายก็จะลดลงด้วย เราจึงรู้สึกว่าผอมลง

สำหรับใครที่อยากลองลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ ควรทำติดต่อกันประมาณ 14 วัน แล้วทำสลับกับการกินอาหารแบบโลว์คาร์บวิธีอื่น เพราะถ้าหากใช้สูตรไดเอตนี้เพียงอย่างเดียวติดต่อกันนานเกิน 6 เดือน จะทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่ดี เพราะร่างกายจะดึงเอาโปรตีนจากเนื้อเยื่อของตัวเราเองมาใช้ และมีปริมาณกรดยูริกในกระแสเลือดสูงที่สามารถพัฒนาเป็นโรคเกาต์ นิ่วในไตได้ อีกทั้งยังขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งอาจมีผลต่อสุขภาพในยามที่เราเจ็บป่วย ร่างกายเราจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่สาว ๆ จะลองนำสูตรคีโตเจนิค ไดเอต ไปใช้ลดน้ำหนักนั้น ควรจะรู้ถึงกระบวนการปรับตัวของร่างกายที่มีต่อสูตรลดน้ำหนักนี้เอาไว้บ้าง นั่นคือ เมื่อเราอดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตได้ระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงปรับตัว ผลคือ ร่างกายจะไม่มีแรง รู้สึกอ่อนเพลียง่าย และเนื่องจากร่างกายเผาผลาญกรดไขมันเป็นพลังงาน ทำให้มีสารเคมีที่เรียกว่า คีโตน (Ketone) ในร่างกายมาก จึงเกิดการถ่ายทอดออกมาผ่านรูขุมขนและลมหายใจได้ เราอาจรู้สึกตัวเองว่าลมหายใจเหม็น

3.ข้อควรรู้ ก่อนลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิค ไดเอต

อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่าคีโตเจนิค ไดเอต คือ การงดกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล และเน้นกินอาหารหมู่โปรตีนและไขมัน ซึ่งอาหารหมู่ไขมันนี่แหละที่อาจทำให้สุขภาพของเราแย่ลงได้ เพราะไขมันบางชนิดก็เป็นตัวการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้อย่างจริงจัง เราก็ควรเข้าใจกับหลักการ 3 ข้อง่าย ๆ ของสูตรคีโตเจนิค ไดเอตกันก่อนดีกว่า

– ลดปริมาณอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต โดยการคุมปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตให้เหลือวันละ 25-50 กรัมต่อวัน

– เน้นกินโปรตีน โปรตีนจะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสเพื่อให้ร่างกายนำไปเผาผลาญเป็นพลังงาน

– เน้นกินไขมันชนิดดี สารอาหารประเภทไขมันจะทำให้ร่างกายเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น โดยการกินไขมันให้ได้เฉลี่ยวันละร้อยละ 70-80 จากอาหารที่มีกรดไขมันสายปานกลาง (MCT oil)

4.อาหารที่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักสูตรคีโตเจนิค ไดเอต

หากหลักการลดน้ำหนักของสูตรคีโตเจนิค ไดเอต ทำให้ใครยังนึกไม่ออกว่า การลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ควรเน้นกินอาหารแบบไหน เราก็มีตัวอย่างอาหารมาแนะนำ ดังนี้

– อาหารหมู่ไขมัน

อาหารประเภทไขมันที่ดีต่อการลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ได้แก่ อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้าทรี และกรดไขมันโอเมก้า 6 และกรดไขมันอิ่มตัวที่มีสายปานกลาง เช่น เนย ไข่แดง ไวลด์แซลมอน ปลาทูน่า ปลาเทราต์ หอย รวมถึงธัญพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวด้วย ได้แก่ ถั่วแมคคาเดเมีย อะโวคาโด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดลินิน และน้ำมันดอกคำฝอย ซึ่งน้ำมันทุกชนิดควรเลือกกินแบบสกัดเย็น เป็นต้น แต่ควรหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ เช่น มาการีน

– อาหารหมู่โปรตีน

อาหารหมู่โปรตีนที่แนะนำคือ ไข่ไก่ ชีส ครีม วิปปิ้งครีม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และ ปลาที่กินได้ทั้งตัว เช่น ปลาดุก ปลาค็อด ปลาตาเดียว ปลาแมกเคอเรล ปลามาฮิ-มาฮิ ปลาแซลมอน ปลากระพงแดง ปลาเทราต์ ปลาทูน่า เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ เนื้อลูกวัว เนื้อหมูสันนอก เนื้อหมูติดซี่โครง หรือ พอร์คชอป นอกจากนี้ยังรวมถึงอาหารประเภทถั่ว เช่น แมคคาเดเมีย วอลนัท อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พิตาชิโอส เป็นต้น หลีกเลี่ยงถั่วลิสง เพราะจัดอยู่ในถั่วที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง

– น้ำเปล่า

การไดเอตแบบคีโตเจนิคก็ยังคงต้องรักษาระดับความชุ่มชื้นในร่างกายด้วย โดยการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และยังสามารถดื่มเมนูอื่น ๆ ได้ เช่น ชาสมุนไพร กาแฟสูตรหวานน้อย เป็นต้น

5. ประโยชน์ เมื่อลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิค ไดเอต

เมื่อเราลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิค ไดเอตแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้างนะ มาดูกันเลย

– ไม่หิวบ่อย

การลดอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต เน้นกินอาหารหมู่โปรตีน จะช่วยให้เราอิ่มท้องนานขึ้น ทำให้เราไม่มีอาการอยากกินจุบจิบ

– ลดน้ำหนักง่ายขึ้น

การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตช่วยให้ร่างกายของเราไม่มีภาวะบวมน้ำ เพราะระดับอินซูลินในร่างกายลดต่ำลง ไตสามารถขับโซเดียมออกจากร่างกายได้อย่างเป็นปกติ เราจึงรู้สึกว่ารูปร่างผอมเพรียวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก

– มีระดับไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) น้อยลง

เมื่อร่างกายดึงไขมันส่วนเกินไปเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้ไขมันในช่องท้องที่สะสมอยู่ในร่างกายเราถูกดึงไปใช้ด้วยเช่นกัน และจะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลของเราเป็นปกติด้วย

– มีระดับความดันโลหิตเป็นปกติ

การลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทำให้ร่างกายเรามีการเผาผลาญน้ำตาลน้อยลงด้วย จึงส่งผลให้ร่างกายมีระดับความดันโลหิตเป็นปกติ

– มีกระบวนการคิดและจดจำดีขึ้น

การลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตช่วยลดการสะสมของแป้งและน้ำตาลในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีระบบการไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ จึงสามารถลดความเสี่ยงเป็นโรคที่เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี เช่น โรคลมบ้าหมู โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบประสาทและสมองให้ดีขึ้นด้วย

 

ขอบคุณภาพและข้อมูล : kapook.com