Ferrari 812 Competizione … ความพิเศษแบบ Limited-Edition Special Series

ค่ายม้าลำพองส่งมอบความพิเศษแบบ Limited-Edition Special Series ให้เหล่าสาวก ด้วยการเปิดตัว Ferrari 812 Competizione ตัวโหดที่อัพเกรดมาจากรุ่น 812 Superfast ที่มีให้เลือกเป็นเจ้าของถึง 2 รุ่นตัวถัง คือ 812 Competizione มาตรฐาน และ 812 Competizione A ที่โดดเด่นด้วยการเปิดหลังคาสไตล์ Targa

Ferrari 812 Competizione

โดยทั้ง 2 รุ่นมากับการอัพเกรดกับคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ เช่น ช่องดักอากาศด้านหน้าแบบ Single Front Air Intake ซึ่งออกแบบให้มีพื้นที่เอื้ออำนวยในสามารถติดตั้งหม้อน้ำขนาดใหญ่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพโดยรวมให้ดีขึ้น มาพร้อมกับครีบแบบ “Aero” ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งหยิบยืมดีไซน์มาจาก SF90 Stradale รับกับ Splitter ใต้กันชนหน้าที่ช่วยสร้างแรงกด Downforce เพิ่มขึ้นได้อีกราว 30% เสริมด้วยการติดตั้ง Front Diffuser ปรับได้แบบ Passive Mobile Aero ที่พร้อมทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 250 กม./ชม.

ขณะที่บนฝากระโปรงมากับ “ช่องครีบ” (Blade) พร้อมด้วยช่องระบายอากาศด้านหลังล้อหน้า รับกับการติดตั้งชุดสเกิร์ตทรง S-Shaped สำหรับทำหน้าที่ระบายความร้อน และจัดเรียงกระแสลม ภายใต้การจัดทิศทางให้ถูกต้องโดยไม่รบกวนการขับขี่ แม้จะเป็นตัวถังเปิดประทุนรุ่น Competizione A

Ferrari 812 Competizione

ด้านหลังมากับชุดกันชนท้าย และ Diffuser ขนาดใหญ่ทรงปิดทึบ พร้อมครีบรีดอากาศ 3 คู่ ซึ่งนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับ Production Car เพื่อการจัดเรียงกระแสการไหลของอากาศที่มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างแรงกด Downforce มากขึืนถึง 10% เมื่อเทียบกับ 812 Superfast เช่นเดียวกับความสะดุดตาทางวิศวกรรมการออกแบบ เพื่อนำเสนอความแตกต่าง เช่น ชุดสปอยเลอร์หลังที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวรถในรูปทรง Ducktail รับกับจนชุดท่อไอเสียทรงเหลี่ยม ซึ่งมาพร้อมการพัฒนา และออกแบบจากเทคโนโลยีของรถแข่ง Formula 1

เวอร์ชั่นเปิดหลังคาอย่าง 812 Competizione A โดดเด่นด้วยชิ้นงานที่มีลักษณะคล้าย “สะพาน” เพื่อทำหน้าที่เป็นสปอยเลอร์หลัง เสริมด้วยการติดตั้งแผ่นกั้นอากาศด้านบนของกระจกบังลมหน้า เพื่อช่วยเบี่ยงเบนทิศทางลมป้องกันการม้วนกลับเข้าสู่ห้องโดยสาร ไปจนถึงป้องกันการเกิดแรงดันด้านหลังศีรษะ โดยการเจาะช่องระบาย เพื่อให้อากาศไหลผ่านไปตามทิศทางที่กำหนด แม้ขณะขับขี่แบบเปิดหลังคา

Ferrari 812 Competizione

ส่วนจุดที่เป็นไฮไลต์ต้องยกให้เรื่อง “สมรรถนะ” อันดุดัน ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจาก เครื่องยนต์เบนซินขนาด 6.5 ลิตร แบบ V12 ไร้ระบบอัดอากาศ ที่อัพเกรดมาจาก 812 Superfast ตั้งแต่ “ฝาสูบ” ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด “ก้านสูบ” เปลี่ยนไปใช้วัสดุไททาเนียม ขณะที่ “สลักลูกสูบ”, “แคมชาร์ฟ” ถูกเคลือบด้วยสาร DLC (Diamond-Like Carbon) อีกทั้งยังมี “กระเดื่องกดวาล์ว” ที่พัฒนามาจากรถแข่ง Ferrari F1 ให้มี “ระยะยก” สูงกว่าปกติ เพื่อนำมาใช้กับเครื่องยนต์บล็อกนี้โดยเฉพาะ รวมไปถึง “เพลาข้อเหวี่ยง” ที่นำมาปรับสมดุลใหม่ และใช้วัสดุที่เบาลงจากเดิม 3%

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในเรื่องของ “ระบบไอดี” ใหม่ ให้เหมาะสมกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอีกราว 30 แรงม้า ตั้งแต่ ช่องดักอากาศด้านหน้าแบบ Single Front Air Intake ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ที่เคลมว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ตลอดจนปริมาณอากาศเย็นไปยังท่อไอดี และแผงระบายความร้อนได้มากขึ้น รวมไปถึงมีการปรับขนาดของ “ท่อไอดี” ให้มีขนาดกะทัดรัด และเป็นแบบแปรผัน เพื่อช่วยให้เกิดการตอบสนองที่ดี และมีแรงบิดให้ใช้ในทุกย่านความเร็วรอบเครื่องยนต์  รวมไปถึงยกระดับประสิทธิภาพในการลดความร้อนเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับ 812 Superfast

Ferrari 812 Competizione

ตามมาด้วยการอัพเกรด “อ่างน้ำมันเครื่อง” ใหม่ เพื่อรองรับอัตราการไหลเวียนที่เพิ่มขึ้น 30% แต่กลับลดการใช้น้ำมันเครื่องลงมากกว่า 1 กก. จากการปรับปรุงห้องกั้น และปริมาณการเก็บใหม่ ไปจนถึงการเปลี่ยนไปใช้ “ปั๊มน้ำมันเครื่อง” ใหม่เป็นแบบแปรผัน เพื่อปรับแรงดันให้มีความต่อเนื่องทุกช่วงการทำงาน กระทั่งการใช้ “น้ำมันเครื่อง” ที่เลือก Shell Helix 5W40 ที่มีความหนืดน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า

ด้านระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection มีการปรับจังหวะ และเพิ่มแรงดันการฉีดจ่ายเชื้อเพลิงใหม่  ภายใต้การควบคุมที่แม่นยำโดยสมองกล ECU ซึ่งมีระบบ Ion-Sensing System เสริมเข้ามาช่วยให้สามารถจุดระเบิดครั้งเดียว หรือหลายครั้ง ไปจนถึงควบคุมการเผาไหม้ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานด้วยประสิทธิภาพทางสูงสุดตลอดจนการขับขี่

Ferrari 812 Competizione

ซึ่งผลลัพธ์ก็คือเรี่ยวแรงที่จัดมาให้ในระดับ 830 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 692 นิวตันเมตร และรอบเครื่องยนต์ที่กวาดสูงได้ถึง 9,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด คลัทช์คู่ (F1 DCT) ที่ปรับปรุงใหม่ให้เร้าใจมากขึ้นในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำที่ทำได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม 5% และรอบเครื่องยนต์ที่ลากเพิ่มได้มากขึ้น 500 รอบต่อนาที

และทั้ง 2 รุ่น ก็ยังมาพร้อมกับการติดตั้งเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับการขับเคลื่อน เช่น ระบบเลี้ยว 4 ล้อ (Independent Four-Wheel Steering) ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก ด้วยความโดดเด่นที่สามารถควบคุมองศาการเลี้ยวแต่ละล้อแบบแยกอิสระตามความเหมาะสม, ระบบ SSC (Side Slip Control) เวอร์ชั่น 7.0 ที่มากับตัวช่วยต่างๆ

Ferrari 812 Competizione

เช่น ระบบ Electronic Differential ในการใช้อิเล็กทรอนิกส์เพื่อควบคุมเฟืองท้าย (E-Diff 3.0), ระบบ Traction Control (F1-Trac) ควบคุมการยึดเกาะถนน, ระบบควบคุมช่วงล่าง (SCM-Frs), ระบบควบคุมแรงดันเบรกขณะขับขี่ด้วยขีดจำกัดสูงสุด (FDE) ในโหมด Race ตลอดจนระบบ (CT-Off) และ Virtual Short Wheelbase 3.0 ที่รวมเอาระบบบังคับเลี้ยวด้วยไฟฟ้า และระบบควบคุมการเลี้ยวอิสระของล้อหลังเข้าไว้ด้วยกัน

แถมด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ก็ผลิตขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์เป็นครั้งแรกสำหรับ Ferrari V12 เพื่อทำการลดน้ำหนัก พร้อมกับเคลือบสารที่ใช้สำหรับงานวิศวกรรมอากาศยาน และยานอวกาศ เพื่อช่วยในการสะท้อน และกระจายความร้อน ก่อนส่งไม้ปิดท้ายให้กับยางสมรรถนะสูงที่ออกแบบ และพัฒนามาเป็นพิเศษอย่าง Michelin Cup2R ในการทำหน้าที่ลำเลียง “สมรรถนะ” ลงสู่ถนนอย่างสมบูรณ์แบบ

Ferrari 812 Competizione