ฟอร์ด ประเทศไทย (Ford Thailand) เปิดตัว Mustang อย่างเป็นทางการ พร้อมราคายั่วสาวก “ม้าป่า”

โพสต์เมื่อ 5th ตุลาคม 2018 หมวดหมู่: รถใหม่ในประเทศ โดย Poyee Poyee

ฟอร์ด ประเทศไทย (Ford Thailand) ยังคงเดินหน้าในการก้าวเป็นผู้นำด้านรถสมรรถนะสูงในเมืองไทย หลังจากปล่อยของเป็น Ford Ranger Raptor ปิคอัพสมรรถนะสูงสู่ตลาดเมืองไทยกันไปไม่นาน ก็จัดการดัน “ของแรง” สาย Muscle Car ในตำนาน เจ้าโลโก้ “ม้าป่า” อย่าง Ford Mustang ให้สาวกชาวไทยได้คลั่งกันอีกระลอก โดยแบ่งรุ่นจำหน่ายออกแบบ 2 เวอร์ชั่นด้วยกัน คือ 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ในราคา 3.599 ล้านบาท และรุ่นท็อปสุด 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack ปิดราคาที่ 4.799 ล้านบาท

Ford Mustang … ส่งตรงสู่ท้องถนนเมืองไทย โดย Ford Thailand

รูปลักษณ์ภายนอกของ Ford Mustang ยังคงมากับบุคคลิกของความเป็น Muscle Car ซึ่งผสมผสานเอกลักษณ์อันเป็นที่จดจำของ “ม้าป่า” ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาอย่างครบถ้วน ผ่านงานดีไซน์ที่นำเสนอความปราดเปรียวภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์ เช่น ฝากระโปรงหน้าที่มีการปรับให้แบนราบลง พร้อมกับเจาะช่องระบายอากาศในตัว ประกอบกับงานดีไซน์ของกระจังหน้าที่วางตำแหน่งต่ำลง ส่งผลให้เกิดความรู้สึก ดูดุดัน โฉบเฉี่ยว สะกดสายตาทุกมุมมอง

นอกจากนี้ยังได้ทำการปรับลดความสูงตัวรถบริเวณด้านหน้า พร้อมด้วยการเพิ่มขนาดของ Splitter ซึ่งช่วยเพิ่มแรงกด Downforce ด้านหน้า เพื่แยกระดับความสามารถในการยึดเกาะถนนบนความเร็วสูงได้ดียิ่งขึ้น ตามมาด้วยด้านหลังการติดตั้งสเกิร์ตด้านข้างตัวรถ ซึ่งช่วยให้อากาศไหลผ่านได้ดี และสามารถลดแรงต้านได้มากถึง 3 เปอร์เซ็นต์

ส่วนด้านหลังมากับชุดกันชนที่ออกแบบให้มาพร้อม Diffuser ในตัว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลผ่านของอากาศ ตลอดจนสร้างความโหดให้กับมุมมองจากด้านหลัง โดยเฉพาะในรุ่นท็อปสุดที่มากับชุดท่อไอเสียคู่ซ้าย-ขวา และสปอยเลอร์หลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

โดยในรายละเอียดต่างๆ นั้น ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับการออกแบบชุดไฟหน้าใหม่ ที่สอดรับกับงานดีไซน์ของชุดกระจังหน้า พร้อมด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีไฟ LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในส่วนของชุดไฟ Daytime Running Light, ไฟเลี้ยว และไฟท้าย ที่จัดวางในรูปแบบ 3 แถว เพื่อสร้างเอกลักษณ์อันโดดเด่น

และที่สำคัญ ทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมกับชุดแต่ง Performance Pack เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยจะประกอบด้วย เฟืองท้ายแบบ Limited-Slip, ล้ออัลลอยด์สีดำขนาด 19 นิ้ว พร้อมระบบเบรคจาก Brembo ในรุ่น GT และฟังค์ชั่นเสริมต่างๆ อีกมากมาย สำหรับการขับขี่ที่สนุกสนาน

ด้านภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้มีความหรูหราสะดวกสบายมากขึ้น ด้วยวัสดุตกแต่งผิวสัมผัสนุ่ม พร้อมมือจับประตูทำจากวัสดุอะลูมิเนียม โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การปลดล็อคประตู ซึ่งปุ่มสตาร์ทรถจะกระพริบไฟสีแดงทันทีจนกว่าจะสตาร์ทรถ และจะกระพริบด้วยความเร็ว 30 ครั้งต่อนาที เท่ากับอัตราการเต้นของหัวใจของ “ม้าป่า” Mustang ขณะพักเลยทีเดียว

จิตวิญญาณ “ม้าป่า” สไตล์ Muscle Car สัญชาติอเมริกัน

สมรรถนะสุดเร้าใจ คือ DNA ที่มีมาตั้งแต่ยุคการเปิดตัวโมเดลแรกในปี 1964 ที่ได้รับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งจนมาถึงโมเดลล่าสุด โดยเวอร์ชั่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้น จะมี 2 ทางเลือกให้จับต้อง คือ รุ่นเริ่มต้น 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ขุมพลังเบนซินพิกัด 2.3 ลิตร EcoBoost ที่มีพละกำลังมาให้ 300 แรงม้า พร้อมแรงบิด 440 นิวตันเมตร ที่มาฟังค์ชั่น Overboost มาให้สำหรับเพิ่มความเร้าใจในการกระแทกกคันเร่ง

ส่วนตัวแรงต้องยกให้กับรุ่นท็อปสุด 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack กับเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกระดับ เพื่อสร้างพละกำลังที่มากกว่า และสามารถดัน Red Line ขึ้นไปได้สูงกว่าที่เคยมีมา พร้อมด้วยการติดตั้งระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Dual-Fuel ทั้งแบบแรงดันสูง (High-Pressure Direct Injection) และแรงดันต่ำ (Low-Pressure Port Fuel Injection) โดยสร้างพละกำลังสูงสุดมาให้ถึง 460 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิด 556 นิวตันเมตร

ทั้ง 2 รุ่นจะมากับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ผ่านการทดสอบมากกว่า 6 ล้านกิโลเมตร ตลอดจนการอัพเกรดระบบควบคุมอิเล็คทรอนิค ซึ่งช่วยให้สามารถปรับแต่งลักษณะการทำงาน ได้ตามโหมดการขับขี่ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว อีกทั้งยังมาพร้อมกับแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย เพื่อช่วยเพิ่มอารมณ์ความเร้าใจในการขับขี่ได้ทุกจังหวะ

รวมถึงการติดตั้งระบบ Electronic Line Lock เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้งในรุ่น 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack และรุ่น 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack ซึ่งจะช่วยสร้างความสะใจในการเบิร์นยางคู่หลังอย่างง่ายดาย ทั้งยังรวมไปถึงการอัพเกรดสมรรถนะการควบคุม และยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่

ด้วยการปรับแต่งในส่วนของระบบช่วงล่าง เช่น โช๊คอัพ, ช่วงข้อต่อแบบ Cross-Axis และการเลือกใช้เหล็กกันโคลงที่มีความหนาขึ้น ซึ่งทั้งหมดเพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นในการเข้าโค้ง ซึ่งสามารถนำไปสู่การบิดของตัวถัง รวมถึงช่วยลดอาการโคลง (Body-Roll) และเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถได้เฉียบคมยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งโหมดการขับขี่ใหม่ 2 โหมด เพิ่มเข้ามาจาก โหมดปกติ (Normal), โหมดสปอร์ต (Sport), โหมดแทร็ค (Track) และโหมดหิมะ/พื้นเปียก (Snow/Wet) ก็คือ โหมดแข่งทางตรง (Drag Strip) และ โหมด My Mode สำหรับปรับการควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว การตอบสนองของคันเร่ง รูปแบบการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ พวงมาลัย และการปรับระดับความดังของชุดท่อไอเสีย Active Valve Performance Exhaust ได้ตามต้องการเป็นครั้งแรก โดยมี Quiet Mode สำหรับตั้งค่าท่อไอเสียให้เงียบได้ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อลดการรบกวนเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตอนที่สตาร์ทเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร

เร้าใจเต็มขั้น ภายใต้เทคโนโลยีอัจฉริยะสุดล้ำ

เจ้า “ม้าป่า” ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งในส่วนของระบบความปลอดภัย และความสะดวกสบาย โดยประกอบไปด้วย ระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ซึ่งผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน อัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความรุนแรง และในบางกรณียังสามารถลดอัตราการชนยานพาหนะ หรือคนเดินถนนจากด้านหน้ารถได้

ตามด้วยการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) และระบบแจ้งเตือนระยะห่าง (Distance Alert) มาเป็นครั้งแรก รวมไปถึงเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อีกมากมาย เช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง และแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง (Lane Keeping System) ที่จะทำการเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทางโดยไม่ตั้งใจ และช่วยหักพวงมาลัยเล็กน้อยเพื่อนำรถกลับเข้าสู่ช่องทาง

ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกสบายมาตรฐาน จะมากับ แผงหน้าปัดแสดงผลดิจิตอล LCD ขนาด 12 นิ้ว สำหรับแสดงข้อมูลที่เหมาะสมกับแต่ละโหมดการขับขี่ แบบเดียวกับที่ติดตั้งในรถระดับท็อปอย่าง Ford GT เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทุกการขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อใข้งานฟังค์ชั่น Electronic Line Lock ผู้ขับขี่จะสามารถอนิเมชั่นแบบวิดีโอเกมเป็นครั้งแรกบนหน้าจอ 12 นิ้วเลยทีเดียว

ทั้งยังมาพร้อมระบบสื่อสาร และความบันเทิง SYNC 3 ซึ่งสามารถรองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto™ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อ และควบคุม Smartphone, ระบบเครื่องเสียง, ระบบนำทาง และระบบปรับอากาศ ได้จากการสั่งงานด้วยเสียง และการสัมผัสบนหน้าจอ Touch Screen ขนาด 8 นิ้วบนคอนโซลกลาง