รีวิว : All New Haval Jolion … “โดยรวมดีเกินคาด ถ้าไม่พลาดเรื่องราคา” (มี Clip)

โพสต์เมื่อ 22nd พฤศจิกายน 2021 หมวดหมู่: Test Drive by iAMCAR โดย Poyee Poyee

ตั้งแต่ปฐมบทจาก Haval H6 ต่อด้วย ORA Good Cat และล่าสุดอย่าง Haval Jolion ที่มาถึงชาวไทยในเวลาอันรวดเร็ว คงทำให้หลายคนพอทราบได้ถึงการเอาจริง เอาจัง กับการทำตลาดในเมืองไทยของ GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) แต่ถ้ายังไม่ชัดเจนล่ะก็ เราขอแนะนำให้ไปลองสัมผัสด้วยตัวเองดีกว่า เพราะขนาดเราเองแค่ One Day Trip ในการขับขี่ All New Haval Jolion ยังรู้สึกเลยว่า “น่าสนใจ” …

โปรแกรม One Day Trip ของ All New Haval Jolion มีจุดเริ่มต้นกันที่ลานริมทะเลสาบเมืองทองธานี ซึ่งเนรมิตให้เป็น ลานทดสอบเบาๆ เริ่มต้นด้วยเรื่องของการทดสอบอัตราเร่ง ท้าพิสูจน์เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เรี่ยวแรงรวม 190แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกได้ 4 รูปแบบ คือ Normal, Eco, Sport และ Slippery ซึ่งเอาจริงๆ แค่ใช้โหมด Normal ธรรมดา กระแทกคันเร่งลงไปเต็มๆ ก็สัมผัสความเร้าใจได้ทันทีนับตั้งแต่ล้อเริ่มหมุน ไปจนถึงจุดที่ต้องกระแทกเบรกอีกครั้ง ตอกย้ำความมั่นใจในเรื่องของระบบเบรกที่จัดดิสก์ 4 ล้อ พร้อม ABS มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

สถานีต่อมาเป็นเรื่องของการขับขี่เปลี่ยนเลนทั้งแบบ Slalom และ Lane Change เพื่อดูการทรงตัวของรถ ไปจนถึงการควบคุม และความแม่นยำของพวงมาลัย ก่อนที่จะพบว่าหากนำวิธีการขับรถสปอร์ตมาใช้ จะมีอาการ “หน้าดื้อ” (Understeer) เล็กๆ รวมถึงอาการ “โคลง” ของตัวถังที่เกิดขึ้นบ้าง เมื่อใช้พวงมาลัยเยอะๆ จนทำให้เราเดาว่าการเซ็ทอัพโดยรวมแล้ว บุคคลิกส่วนใหญ่จะเป็นไปในแนวทางของรถอเนกประสงค์ที่เน้นการขับขี่ทั่วไป และอรรถประโยชน์ในการใช้งานมากกว่า

แล้วก็ดูเหมือนจะยิ่งมั่นใจได้มากขึ้น จากการทดสอบในสถานีต่อมา เรื่องของระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC-Adaptive Cruise Control) ที่ช่วยควบคุมรถยนต์ให้อยู่ในช่วงความเร็วที่กำหนด ตลอดจนปรับลดความเร็วเพื่อรักษาระยะห่างได้ตั้งแต่มีความเร็ว ไปจนกระทั่งหยุดนิ่ง และออกตัวใหม่อีกครั้ง ต่อมาก็เป็นเรื่องของระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IIP-Integration Intelligent Parking) ทั้งการจอดแบบแนวตรง แนวเฉียง และการจอดเทียบข้าง ที่ทำด้วยความสามารถของรถเพียงอย่างเดียว ส่วนคนขับก็แค่นั่งมองกล้อง และ “ลุ้น” กันไป สุดท้ายกับเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ (Intelligent Single Pedal) ที่สรุปง่ายๆ ก็คือ การเพิ่มความเร็ว หรือลดความเร็ว ได้จากคันเร่งเพียงอย่างเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะออพชั่นของ All New Haval Jolion ยังมีอีกมากมายที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของระบบความปลอดภัย ซึ่งเราแนะนำให้ไปเปิดแคตตาล็อคดูเอาดีกว่า เพราะน่าจะ “เยอะมาก” ขนาดเราสตาร์ทรถ เตรียมพร้อมออกเดินทางไปทานมื้อเที่ยงที่บางแสน ทันทีที่เคลื่อนตัวออกมาบนถนน โปรแกรมต่างๆ ก็ “เตือน” กันให้วุ่นวาย ชนิดที่ต้องมาไล่ปิดระบบบางอย่างลงบ้าง เนื่องจากบางจังหวะ สำหรับเรามันอาจจะเกินความจำเป็นไปซักนิด แต่เป็นการใช้งานในเมืองล่ะก็ บอกเลยว่า “ดีงาม” เพราะอย่างน้อยๆ ขนาดตัวถังความยาว 4,472 มม. ความกว้าง 1,841 มม. และความสูง 1,619 มม. จะไม่เป็นปัญหาน่าหวั่นใจ ให้ผู้ที่ไม่ชินกับรถคันใหญ่แน่นอน

จากลานริมทะเลสาบ เราออกเดินทางมุ่งหน้าสู่บางแสน เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน โดยเส้นทางหลักๆ ที่ใช้ ก็คือ ทางด่วนมุ่งหน้าพระราม 9 เชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ ยาวไปจนถึงจุดหมายปลายทาง พร้อมกับซึมซับภาพรวมในการใช้งานจริงอีกครั้ง จนชัดเจนในความเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV สาย Hybrid ที่มีคุณสมบัติน่าประทับใจทีเดียว เช่น อัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจตั้งแต่การออกตัวจากจุดหยุดยิ่ง และรวมถึงจังหวะลอยๆ ที่หากต้องการเร่งแซงแบบทันใจเมื่อไหร่ล่ะก็ แค่จุ่มคันเร่งลงไป Haval Jolion ก็สามารถทำได้แบบผ่านฉลุย

ส่วนในเรื่องของการควบคุมนั้นถือว่าอยู่ในระดับพื้นฐานของการใช้งานทั่วไป ด้วยจากเพราะองค์ประกอบต่างๆ เช่น ตัวเบาะที่ไม่ได้ออกแบบให้กระชับเท่าไหร่นัก และพวงมาลัยก็ปรับได้เพียงสูง-ต่ำ ซึ่งทั้งหมดทำให้การปรับตำแหน่งท่านั่ง เพื่อสร้างความกระชับไม่เป็นไปตามคิดเท่าที่ควร ฉะนั้นควบคุมเลยทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนัก ตลอดจนน้ำหนักพวงมาลัยที่ค่อนข้างเบาแรง แม้จะเปลี่ยนโหมดไปในระดับสปอร์ต พร้อมด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง บนโครงสร้างแพลตฟอร์ม GWM Lemon แบบเดียวกับรุ่นพี่ H6 ก็แสดงออกถึงอาการที่ “เป็นกลาง” มากกว่า เพราะไม่ได้ออกแนวสปอร์ตเต็มเหนี่ยว จนเกิดความรู้สึกแย่บนถนนไม่เรียบ แล้วก็ไม่ได้นุ่มเกินควร ชนิดที่รู้สึกเสียความมั่นใจในขณะเข้าโค้ง

ฉะนั้นมาถึงตรงนี้ก็บอกได้เลยว่า Jolion เป็นรถที่ไม่ได้เอื้ออำนวยในการ “ซิ่ง” มากเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เลยซะทีเดียว เรียกว่า “พอไหว” ในบางจังหวะเพื่อสร้างอรรถรสสนุกๆ ให้เกิดขึ้นบ้าง แต่เท่าที่สัมผัสได้เราคิดว่าการขับขี่ด้วยแนวทางสบายๆ ดูจะเป็นอะไรที่เหมาะกว่า เพราะมีทั้งเสถียรภาพที่ดีบนความเร็วเดินทางปกติซัก 120-140 กม./ชม. ขณะที่ความเร็วสูงสุดหยุดอยู่แค่ไม่เกิน 160 กม./ชม. เท่านั้น ด้วยเหตุผลเพราะทางทีมวิศวกรเค้าบอกว่า มันเป็นช่วงระดับความเร็วที่อะไรๆ ต่างๆ จะสมบูรณ์แบบที่สุด เช่น เรื่องของระบบความปลอดภัย และอัตราสิ้นเปลืองที่เคลมเอาไว้ถึง 23.8 กม./ลิตร