รีวิว : New Nissan Almera … ย้ำ “คุณภาพ” การอัพเกรดใหม่ กับราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึง

โพสต์เมื่อ 22nd มิถุนายน 2023 หมวดหมู่: Test Drive by iAMCAR โดย Poyee Poyee

จากหลบๆ ซ่อนๆ ไปลองซิ่ง ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ … ในที่สุด ก็ได้เวลาเอา New Nissan Almera ออกมาสัมผัสโลกภายนอกซักที และครั้งนี้ คือ One Day Trip บนเส้นทาง กรุงเทพฯ-สระบุรี ในรุ่นย่อย VL ค่าตัว 699,000 บาท

รายละเอียดปลีกย่อยของรูปลักษณ์ และออพชั่นต่างๆ เราเชื่อว่า หลายคนน่าจะพอได้ศึกษามาบ้าง จากหลายช่องทางการนำเสนอ ฉะนั้นเราจึงขอข้ามไปที่ประเด็นอื่น ซึ่งหลักๆ คือ อารมณ์ โดยรวมของการใช้ชีวิตอยู่ในห้องโดยสาร เนื่องจากครั้งก่อน “หมดรอบ” ไวซะใจหาย

ด้านงานดีไซน์ ก็เป็นอีกเรื่องที่ขอข้ามไม่ตัดสินใจเช่นกัน เพราะบอกตรงๆ ว่า ส่วนตัวเรายังคงชื่นชอบหน้าตาของรุ่นก่อนปรับโฉมมากกว่า โดยเฉพาะในมุมมองด้านหน้าที่มีความสปอร์ต ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป แถมยังมีความหรูหรามาให้นิดๆ ในส่วนของ V-Motion ช่วยเพิ่มความโดดเด่น แต่ก็ไม่เตะตา สรุปว่าลงตัวดี

ขณะที่เจนเนอเรชั่นใหม่ มีการใส่ความหรูหรา เยอะกว่าความสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่มุมมองด้านหน้า ซึ่งสะดุดตาด้วย Next Generation V-Motion อันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัสดุโครเมี่ยม เพราะนอกจากเพิ่มความโดดเด่น สะดุดตาแล้ว เรายังพอเดาออกอีกว่า เป็นการเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้กว้างกว่า “รุ่นก่อนปรับโฉม” ด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่แค่ภายนอกเท่านั้น แต่รวมถึงภายในที่มีการอัพเกรดขึ้นใหม่ เช่น โทนสีที่ถูกนำมาใช้ในรายละเอียดการตกแต่ง รวมไปถึงวัสดุแบบ Soft Touch ในส่วนที่ร่างกายสัมผัส ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการทำให้ห้องโดยสารมีความน่าอยู่มากขึ้น

ท้ายสุดต้องยกให้ “ออพชั่น” ที่เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจ และทำให้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายขึ้น … ไฮไลต์โดนๆ ก็เช่น การติดตั้งระบบ SOS ขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน มาให้เป็นครั้งแรก หรือ แอพพลิเคชั่น NissanConnect Services ที่มีมาให้เป็นครั้งแรกของรถระดับนี้ โดยจุดเด่นก็คือ การสั่งงานระบบต่างๆ ได้จากระยะไกล

นอกจากนี้ระบบ Infotainment ล่าสุด ในชื่อ Nissan Connect ซึ่งรองรับทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay ก็เป็นอะไรที่ถูกใจไม่น้อย โดยเฉพาะทริปนี้ ที่ต้องพึ่งพา GPS เกือบตลอดเส้นทาง เพราะแค่เสียบสาย แผนที่ Google Map ก็แสดงผล บนหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ให้เราได้ใช้งานง่ายๆ ทันที สิ่งดีงามอีกอย่าง ก็คือ ระบบ TPMS – Tire Pressure Monitoring System ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แถมยังแสดงผลแบบ Real Time ขณะขับขี่อีกด้วย เพราะงั้นทริปนี้ อุ่นใจได้ในทุกที่ ที่จะไป

ขุมพลัง เรียกว่าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กับความเบนซิน 1 ลิตร 3 สูบ 12 วาล์ว พ่วงเทอร์โบชาร์จ ให่กำลังสูงสุด 100 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT ส่วนระบบช่วงล่างมากับด้านหน้าแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง จับคู่กับด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง รองรับด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 15 นิ้ว และยางซีรี่ส์ 195/65 R15

ซึ่งด้วยบุคลิกภาพรวม ต้องบอกว่าเป็นรถที่เข้าถึงง่าย ใช้งานได้ดี ในแบบฉบับที่คุ้นมือ จากรุ่นก่อนปรับโฉม เราชอบตรงการตอบสนองที่เพียงพอต่อการขับขี่ เพราะแค่เติมคันเร่งเบาๆ ก็สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างไม่ยากเย็น โดยจุดที่ชอบสุดๆ ก็จังหวะความเร็วเดินทางลอยตัว ที่ไม่ว่า จะยก จะกรอ หรือจะเติม ก็สามารถตอบสนองความต้องการทำได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้การควบคุมความเร็วทำได้ไม่ยาก และทำได้อย่างมั่นใจ

กรณีต้องการความเร็วเร่งแซงแบบฉับพลัน การ Kick Down ถือเป็นทางออกที่ดี ให้ความมั่นใจได้ดีเช่นกัน แต่นั่นก็ต้องแลกด้วย “เสียงเครื่องยนต์” ที่ครางขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าหากไม่ได้รีบร้อนอะไร การ Kick Down ก็แทบจะจำเป็น เหมือนที่เราเดินทางในทริปนี้ เพราะการลอยตัวที่ความเร็วเดินทางปกติ ดูจะเป็นความเหมาะสมที่น่าประทับใจ และให้ความสบายในการเดินทางได้ดีอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยทีเดียว

แล้วก็ไม่ใช่แค่การตอบสนองของเครื่องยนต์เท่านั้น แต่รวมไปถึงช่วงล่างที่ตอบโจทย์เรื่องความนุ่มนวลได้ยอดเยี่ยม ขณะเดียวกันก็ให้ความมั่นใจ และสร้างเสถียรภาพได้ดีแบบคาดไม่ถึง เพราะในทริปนี้บางช่วง บางตอน เป็นถนนทางหลวงชนบท ที่มีโค้งมากมายให้พบเจอ แถมความเร็วที่เราใช้ บางครั้งก็มากเกินกว่าที่ป้ายความเร็วกำหนด แต่ New Nissan Almera ก็สอบผ่านไปได้แบบสบายๆ

เพราะทั้งช่วงล่าง, ระบบเบรก และระบบพวงมาลัย ต่างทำงานสอดประสานกันเป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้ขับขี่ควบคุมด้วยความมั่นใจ และใช้ขีดความสามารถของรถได้อย่างเต็มศักยภาพ และที่น่าประทับใจกว่านั้น ก็ต้องยกให้เรื่องความประหยัด

เพราะ One Day Trip ของเรา ทั้งขับช้า, ขับเร็ว, รถติด, รถโล่ง หรือแม้กระทั่งแวะตามใจฉัน รวมเบ็ดเสร็จ 260 กม. ก็ยังสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้น่าทึ่งถึง 18.7 กม./ลิตร เลยทีเดียว