[bsa_pro_ad_space id=14]

รีวิว : LEXUS CT200h ( เลกซัส ซีที200เอช ) “ไฮบริดแฮทช์แบค 5 ประตูคันแรกของโลก”

ฉลองครบรอบ 3 ปี  iAMCAR ทั้งที ต้องนำตัวทีเด็ดมาทดสอบให้ทุกท่านชมกันหน่อย รถที่ทุกท่านเห็นอยู่ ณ ขนาดนี้ ได้ชื่อว่าเป็น “ไฮบริดแฮทช์แบค 5 ประตูคันแรกของโลก” เรียกง่ายๆว่า LEXUS CT200h ( เลกซัส ซีที200เอช ) โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้รักความทันสมัย ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ ชื่นชอบเทคโนโลยี แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิต และรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งทาง LEXUS เรียกลูกค้ากลุ่มนี้ว่า “Creative Generation” แต่สมรรถนะของ LEXUS CT200h ( เลกซัส ซีที200เอช ) จะโดนใจลูกค้ากลุ่มนี้หรือไม่ เดี๋ยว iAMCAR จะพิสูจน์แทนทุกท่านเองครับ

 

Yet Philosophy.

    ก่อนที่ผมจะพาทุกท่านออกไปทดสอบสมรรถนะมาทราบถึง Concept ของรถคันนี้ก่อน การออกแบบที่สร้างสรรค์นี้ ปฎิบัติตามปรัชญา “Yet Philosophy” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ LEXUS ซึ่งหมายถึง การประสานแนวคิดที่แตกต่าง และไม่น่าเป็นไปได้ ให้เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชึ่งต้องสะท้อนความหรูหรา ที่ประกอบไปด้วยความรื่นรมย์ในการขับขี่ ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่น และเหนือกว่า ความภาคภูมิในความหรูหรา และ Design ที่โฉบเฉี่ยวแล้วนั้น ต้องก้าวล้ำด้านนวัตกรรม และความปลอดภัยระดับโลก เทคโนโลยีใหม่ทันสมัย รวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับ First Class ความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กับ Technology การผลิต และระบบ Lexus Hybrid Drive ตามมาตรฐาน ระดับโลกของ Lexus”

 

การออกแบบภายนอก

การออกแบบภายนอกที่งดงามของ LEXUS CT200h ( เลกซัส ซีที200เอช ) นี้ ออกมาในแนวเดียวกับ LEXUS LF-Ch Hybrid Concept 2009 ซึ่งใช้ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Hybrid (Distinctive Styling for Hybrid) สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ “L-finesse” ผ่านเส้นสายของตัวถังที่ลื่นไหลไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้วยค่าสัมประสิทธ์แรงเสียดทานต่ำ (Cd) เพียง 0.29 อีกทั้ง รูปทรงของโป่งล้อที่กว้างเพื่อรองรับกับซุ้มล้อ ทำให้รถดูต่ำแนบพื้น ฝากระโปรงหน้า และประตูท้ายทำจากอลูมิเนียม ทำให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วง (CG) ที่ต่ำ รับกับหลังคาที่เทลาด ให้ อารมณ์สปอร์ตรวมถึงการทรงตัวที่ดี

 

กระจังหน้ารูปลักษณ์ใหม่ แบบ ‘spindle-shaped’ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจาก รูปแบบของลมที่ปะทะตัวรถในระหว่างที่รถวิ่ง สอดรับกับแนวเส้นสายของตัวถังกระจกด้านหลังมีเส้นสายดีไซน์แบบ ‘Slingshot’
ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights และ ไฟหรี่แบบ LED รูปทรง L- shapeไฟท้ายและไฟเบรคแบบ LED ให้การส่องสว่างที่ชัดเจนในยามค่ำคืน ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ต่ำ พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนาน ถ้าให้ผมวิจารณ์ในเรื่องของการออกแบบภายนอกคงไม่รู้จะติตรงไหน เพราะทาง LEXUS เองสามารถ ใส่เส้นสายที่คมและหนักแน่นลงบนตัวถังรถได้ลงตัวมาก แต่ที่ผมว่ามันยอดเยี่ยม คือ รถที่มีเส้นสายคมๆ หนักๆ มักจะออกมาในแนวดุดัน ทรงพลัง แต่ LEXUS CT200h ( เลกซัส ซีที200เอช ) คันนี้เมื่อใส่รายละเอียดอย่างเช่น ไฟหน้า-หลัง กระจังหน้า หรือไฟ Daytime Running Lights ลงไป กลับออกมาในรูปแบบของรถหรูอย่างเต็มตัว พร้อมแฝงความสปอร์ตเอาไว้ด้วย

 

 

First Class EMV Remote Control.

    เปิดประตูมาชมการออกแบบภายในบ้างดีกว่า ด้วยการคำนึงถึงอรรถประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกสบาย ภายใต้หลักการ HMI (Human-Machine Interface) โดยการแบ่งโซนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของการควบคุม และการแสดงผล ด้วยการออกแบบดังกล่าว ทำให้เราไม่จำเป็นต้องละสายตาจากการมองเส้นทาง ทำให้เกิดความสะดวกสบาย และความปลอดภัยตลอดการเดินทาง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของภายใน คือ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับ First Class EMV Remote Control Device ด้วยชุดควบคุมบริเวณคอนโซลกลาง รูปทรงแบบเม๊าส์คอมพิวเตอร์ ทำให้การควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยแสดงผลผ่าน หน้าจอแบบ Electro-Multi Vision (EMV) พร้อมระบบแผนที่นำทาง ซึ่งมีฟังค์ชั่นการใช้งานง่ายๆ ลักษณะการใช้เหมือนการ Click เม๊าส์คอมพิวเตอร์ที่บ้าน เบาะหน้าเป็นแบบสปอร์ตโอบกระชับร่างกายได้ดีมาก และยังคงความนิ่มนวลไว้ได้เป็นอย่างดี พร้อมระบบปกป้องผู้โดยสารจากการชนด้านท้าย หมอนรองศีรษะแบบ Passive Headrest ให้การปกป้องผู้โดยสาร เมื่อเกิดการชนจากด้านท้าย โครงด้านข้างของเบาะจะยุบตัว ทำให้หมอนรองศรีษะ เคลื่อนเข้ารองรับศรีษะของผู้โดยสาร ช่วยลดการบาดเจ็บที่บริเวณกระดูกต้นคอ

 

ระบบนำทาง Lexus Navigation System

นอกจากนี้ยังมีระบบนำทาง Lexus Navigation System ทำงานโดยแสดงแผนที่แบบ DVD และบอกเส้นทางด้วยระบบเสียง ยังสามารถค้นหาเส้นทางและซูมตำแหน่งของสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรายแรกในประเทศไทยสำหรับยนตรกรรมหรูทื่แสดงข้อมูลการจราจรใน เขตกรุงเทพมหานครแบบ Real-time โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลกองบังคับการตำรวจจราจร และยังมีคุณลักษณะพิเศษของระบบ ไฮบริด  2 รูปแบบ 2 อารมณ์การขับขี่ (2 Moods 2 Modes) ไม่ว่าจะเป็นแบบสบายๆ ในโหมด Normal, Eco และ EV โดยที่ไฟส่องสว่างหน้าปัทม์จะแสดงเป็นสีฟ้า และการขับขี่แบบสนุกสนานในโหมด Sport โดยที่ไฟส่องสว่างหน้าปัทม์จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อเร้าอารมณ์ มาดูเรื่องทัศนะวิสัยของการขับขี่บ้างดีกว่าในด้านหน้าถือว่าชัดเจนไม่มีอะไรเกะกะขวางสายตา ในมุมมองด้านข้างในส่วนของจุดอับสายตามีน้อยมาก แต่ด้านหลังด้วยรูปทรงรถลักษณะนี้เป็นทุกคันที่อาจจะมองยากสักหน่อย ต้องปรับกระจกส่องหลังให้ดีๆ ครับ

 

Atkinson Cycle.

  มารู้จักหัวใจการขับเคลื่อน CT200h ก่อน เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง แบบ Atkinson Cycle ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิค (EFI) และระบบปรับองศาวาล์วแปรผัน VVT-i (Variable Valve Timing-intelligent) ให้กำลังเครื่องยนต์ 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 2,800 – 4,400 รอบต่อนาที ซึ่งทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 650 V กำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร พอนำมาผสม 2 ระบบเข้าด้วยกัน ก็กลายมาเป็น Lexus Hybrid Drive นั่นเอง และยังสามารถให้แรงม้าสูงสุดที่ 134 แรงม้า ระบบส่งกำลังแบบแปรผันต่อเนื่อง ซึ่งควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (Electrically Controlled Continuously Variable Transmission) ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังของเครื่องยนต์ไฮบริด หรือเข้าใจง่ายๆ คือ “E-CVT” นั่นเอง

 

ทดสอบระบบ Hybrid    

การทดสอบสมรรถนะครั้งนี้ผมแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ใช้ในเมืองที่มีการจราจรคับคั่ง และ High Way โล่งๆ ผมเริ่มจากการทดสอบระบบ Hybrid ก่อน โดยเลือกเส้นทางสุขุมวิทไล่ตั้งแต่ซอยนานาขับไปเรื่อยๆ จนถึงถนนสุขุมวิท 103 ระยะทางประมาณ 16 กม. ในเวลา 18.00 น. โดยใช้วิธีเติมน้ำมันถึงคอถังขับไปเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะจอดนิ่งให้ระบบ Hybrid ทำงาน เคลื่อนที่ความเร็วก็ไม่เกิน 40 กม./ชม. ตัวแบตเตอรี่ใช้ได้นานพอสมควร พอเครื่องยนต์ติดเพื่อชาร์ทไฟแป๊ปเดียวก็ดับ ทำให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยมาก ผมลองเติมน้ำมันกลับไป 22 บาท โอ้…เด็กปั๊มถามผมว่าพี่จะเติมทำไม? หัวจ่ายเปิดแล้วขั้นต่ำ 60 บาท ผมเลยต้องจ่าย 60 บาท การขับทดสอบช่วงแรกครั้งนี้ผมใช้ EV โหมดตลอดครับ

 

โหมด Sport

มาขยับเป็นโหมด Sport เพื่อเรียกสมรรถนะออกมาให้ถึงขีดสุดของรถคันนี้ดีกว่า เริ่มจากการจับเวลาจากหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. อยู่ประมาณ 11-12 วินาที เพราะผมมีผู้โดยสารอีก 2 ท่าน พร้อมสัมภาระเต็มหลังรถ ความเร็วสูงสุดเกือบ 200 กม./ชม. แบบสบายๆ ในเรื่องของอัตราเร่งเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ราบรื่น ให้อารมณ์นิ่มนวลของรถหรู และยังให้อัตราเร่งที่รวดเร็วแบบรถสปอร์ต ถือว่าเป็นรถที่ขับสนุกไม่น้อย คราวนี้ผมลองอัตราการบริโภคน้ำมันในการเดินทางไกลบ้างโดยใช้ระยะทาง 323 กม. โดยใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 110 กม./ชม. ผมใช้น้ำมันไป 435 บาท (ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ลิตรละ 32.34 บาท) หรือคิดง่ายๆ กิโลเมตรละบาทนิดๆ ซึ่งถือว่าโอเคมากสำหรับการเดินทางแบบประหยัด นอกจากนี้เครื่องยนต์ยังเน้นเรื่องของสิ่งแวดล้อม โดยปล่อยค่าไอเสียออกสู่บรรยากาศต่ำที่สุดในระดับ World-class ตามมาตรฐาน Euro Step V ด้วยอัตราเฉลี่ยของ CO2 เพียง 94 กรัม/กม.

 

Sport & Comfort.

    สุดท้ายเป็นการทดสอบสมรรถนะช่วงล่าง ซึ่งคนส่วนหนึ่งมักพูดว่า CT200h คือ Prius เปลี่ยนกรอบ ผมขอบอกว่าไม่ใช่แน่ๆ เพราะมีระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือนในแนวขวางทั้งด้านหน้าและหลัง หรือเรียกแบบง่าย คือ การใช้ค้ำช็อคอัพ ซึ่งมีการเสริมช็อคอัพเข้าไป ขออธิบายให้เข้าใจเพิ่มอีกนิด ถ้าคุณเคยใส่ค้ำช็อคอัพแบบปกติ ซึ่งเป็นเหล็กค้ำระหว่างช็อคอัพซ้าย-ขวา จะทำให้การทรงตัวของรถดีขึ้น แต่สิ่งที่คุณเสียไป คือ ความกระด้างของตัวรถ LEXUS จึงคิดค้นนำช็อคอัพเข้ามาใส่เพิ่ม ทำให้เกิดการยืดยุ่น พร้อมดูดซับแรงสั่นสะเทือน เรียกได้ว่าเป็นการแก้จุดด้อยของเหล็กค้ำช็อคอัพแบบเดิม นอกจากนี้ยัง VSC, TRC, ABS, ฺBA ที่มาช่วยเรื่องความปลอดภัยของคุณ ในส่วนของน้ำหนักพวงมาลัยอาจจะหนักนิดหน่อย แต่เพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ต และความสนุกสนานเร้าใจเวลาคุณใช้ความเร็ว นี่แหละน้ำหนักที่เหมาะสม แม้ CT200h จะบอกว่าเป็นรถเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ในเรื่องสมรรถนะและการทรงตัวทั้งในทางตรงที่ต้องใช้ความเร็วสูงก็ถือว่านิ่งมาก ในการเข้าโค้งต่างๆ ก็วางใจได้และยังให้อารมณ์แบบรถสปอร์ตที่ให้ความนิ่มนวลตลอดการเดินทางครับ

 

LEXUS CT200h ( เลกซัส ซีที200เอช ) รุ่น Premium พร้อมระบบนำทางอัจฉริยะ ในราคา 2,590,000 บาท แลกกับความโดดเด่นบนท้องถนน เทคโนโลยีอันทันสมัย สมรรถนะแบบสปอร์ต ประหยัดน้ำมันแบบ ECO Car และรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ให้ลูกหลาน คุ้มหรือไม่เป็นหน้าที่ของคุณต้องตัดสินใจครับ

[bsa_pro_ad_space id=15]
[bsa_pro_ad_space id=16]