ใหม่ Lexus GS 300h (เลกซัส จีเอส 300เฮช) 2017-2018 อีกหนึ่งทางเลือกจากตระกูล GS กับราคา 4.83 ล้านบาท

โพสต์เมื่อ 30th กรกฎาคม 2017 หมวดหมู่: รถใหม่ในประเทศ โดย Poyee Poyee

นอกจาก 2 รุ่นตัวแรงขุมพลังเทอร์โบแล้ว อนุกรม GS ยังปล่อยอีกหนึ่งเวอร์ชั่นลงทำตลาดด้วย Lexus GS300h (เลกซัส จีเอส 300เฮช) การผสมผสานความแรง และความรักษ์โลกอย่างลงตัวด้วยแรงขับเคลื่อนสไตล์ Hybrid บนพื้นฐานการออกแบบที่นำเสนอความหรูหราตามแบบฉบับชื่อรุ่นย่อย Premium

เติมความสปอร์ตให้งานดีไซน์รูปลักษณ์

เลกซัส จีเอส 300เฮช เวอร์ชั่นแรง และรักษ์โลกในอนุกรม GS ที่มากับการปรับโฉมใหม่ ภายใต้หลักอากาสพลศาสตร์ และตามแนวทางของยนตรกรรมภายใต้แบรนด์ Lexus กับในส่วนของกระจังหน้าที่ออกแบบให้ยื่นออกมาจากตัวรถ เพื่อเพิ่มความสปอร์ต รับกับดีไซน์เฉี่ยวของชุดไฟหน้า และไฟตัดหมอกแบบ LED และชุดไฟ Daytime Running Lights ซึ่งชุดไฟหน้านี้จะมากับระบบทำความสะอาดไฟหน้าติดตั้งมาให้

ตามด้วยการเปลี่ยนไปใช้ล้ออัลลอยด์แบบใหม่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมติดตั้งกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และลดแสงสะท้อน พร้อมปรับมุมขณะเข้าเกียร์ถอยมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนด้านหลังมากับความโดดเด่นด้วยชุดไฟท้ายดีไซน์ทรง L-Shaped อันเป็นสัญลักษณ์แบรนด์ Lexus และการติดตั้งไฟเบรกหลังดวงที่ 3 แบบ LED

ภายในตามมาตรฐานที่เน้นความ “เลิศหรู” เป็นหลัก

ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบใหม่ และเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมี่ยม เช่น เบาะหุ้มหนัง Semi-Aniline Leather ปรับไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำ 3 หน่วย เบาะรองนั่งแบบปรับความยาวได้ และระบบปรับอุณหภูมิเบาะนั่ง, หัวเกียร์หุ้มหนัง, พวงมาลัยทำจากวัสดุไม้ และหุ้มหนัง พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย

ทั้งยังครบเครื่องในสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ระบบ Heads-Up Disply ซึ่งจะสะท้อนข้อมูล เช่น มาตรวัดความเร็ว, ระบบนำทาง Cruise control ลงบนกระจกบังลมหน้าที่สามารถอ่านค่าได้โดยไม่ต้องละสายตาไปจากถนน โดยในส่วนของมาตรวัด Intelligent Dial Design เทคโนโลยี Optitron เอกลักษณ์จากแบรนด์ Lexus

ซึ่งจะมากับมาตรวัด Eco Driving Indicator แสดงผลแบบดิจิตอลทั้งหมด และเปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Lexus LFA รวมถึงการติดตั้งระบบปรับอากาศแบบแยกส่วนมาให้เป็นอุปกรณาตรฐาน พร้อมระบบปรับสภาพอากาศแบบ Nano-E

สำหรับในส่วนความบันเทิงมากับชุดเครื่องเสียงที่แสดงผลผ่านจอ EMV ขนาด 8 นิ้ว โดยสั่งการได้จากทั้ง Remote Control บริเวณคอนโซลเกียร์ และสวิทช์มัลติฟังค์ชั่นบนพวงมาลัย ทั้งยังรองรับระบบนำทาง Lexus Navigation System ที่สามารถแสดงผลได้ทั้งแบบ 3D และ Google Street View

Lexus GS 300h ขับเคลื่อนความล้ำสมัยด้วย Lexus Hybrid Drive

เลกซัส จีเอส 300เฮช มากับขุมพลังเร้าใจ และรักษ์โลกที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เบนซินพิกัด 2.5 ลิตร VVT-i ที่มีกำลัง 181 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 221 นิวตันเมตรที่ 4,200 – 5,400 รอบต่อนาที ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงจากเทคโนโลยี Lexus Hybrid Drive ที่มีกำลัง 143 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร

ผนึกกำลังขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมฟังค์ชั่น Drive Mode Select ที่สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ คือ Normal, Eco, Sport และ Sport S+ รวมถึงระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว EV Drive Mode และติดตั้งระบบ Regenerative Braking มาให้เพื่อเปลี่ยนพลังงานที่สูญเสียจากการลดวามเร็ว และเบรกให้กลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อส่งกลับไปเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่ ตลอดจนการเสริมมาตรวัด Eco Driving Indicator เพื่อบ่งบอกสถานะของระบบไฮบริดในขณะขับขี่

ส่วนสมรรถนะของ GS 300h ทาง Lexus เคลมตัวเลขอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ใน 9.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 190 กม./ชม. ส่วนระบบช่วงของด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบน และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ โดยติดตั้งระบบ AVS (Adaptive Variable Suspension) เพื่อช่วยในการดูดซับแรงกระแทก และสร้างบรรยากาศการขับขี่ที่นุ่มนวลในทุกเส้นทาง ปิดท้ายด้วยการเพิ่มความมั่นใจจากชุดดิสก์เบรก 4 ล้อ

เพียบพร้อมด้วยมาตรฐานแห่งระบบความปลอดภัย

เลกซัส จีเอส 300เฮช ติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ช่วยยกระดับความมั่นใจในการขับขี่ โดยจะประกอบด้วย ระบบจัดการรวมไดนามิคของตัวรถ (VDIM), ระบบป้องกันการลื่นไถล (TRC), ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบช่วยเบรก (BA) และระบบรักษาแรงดันเบรก, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบ Blind Spot Monitor ที่ช่วยเตือนเมื่อมีรถโดยรอบเข้ามาในจุดที่ผู้ขับขี่มองไม่เห็นแม้จะมาในความเร็วที่สูง

ตามด้วยระบบ Lane Departure Alert สำหรับเตือนเมื่อรถออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว, ระบบ Parking Assist สำหรับช่วยจอดทั้งแบบถอย และแบบจอดข้าง ผ่านหน้าจอมอร์นิเตอร์ และกล้องด้านหลัง รวมถึงระบบ Tire Pressure Alert ที่จะแสดงผลเมื่อลมในยางรถอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน ตลอดจนไฟเบรกฉุกเฉิน, ระบบแจ้งเตือนเข้ารับการบริการ และระบบป้องกันการโจรกรรมแบบ Immobilizer และ Intrusion Sensor พร้อมสัญญาณเตือนอัตโนมัติ

ส่วนภายในห้องโดยสารนั้นมากับถุงลมเสริมความปลอดภัยสำหรับที่นั่งตอนหน้า, ม่านถุงลม และถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านข้างสำหรับที่นั่งตอนหน้า และตอนหลัง, ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS บริเวณหัวเข่าสำหรับที่นั่งตอนหน้า ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัย ELR แบบ 3 จุด พร้อมตัวลดแรงดึง ในขณะที่ด้านหลังมากับเข็มขัดนิรภัย ELR แบบ 3 จุด พร้อมตัวลดแรงดึงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับ