รีวิว : New TOYOTA Fortuner ( โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ) “Big Minor Change” ครั้งใหญ่จริงๆ พร้อม ราคา โดนใจ

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน ในปีนี้ผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะปีมังกรน้ำหรือเปล่า จึงทำให้ สายฝนตกโปรยปรายตั้งแต่ต้นปีแบบนี้ คิดแล้วผมก็เริ่มหวั่นๆ กลัว “น้องน้ำ” จะมาแวะเวียนแถวบ้านผมอีก พอคิดแบบนี้ ผมจึงอยากหารถดีๆสักคัน ที่สำคัญต้องพาผมหนีน้ำได้ ผมเลยอยากจะนำ New TOYOTA Fortuner ( โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ )  พร้อม ราคา โดนใจ มาทดสอบสมรรถนะ เผื่อเอาไว้เป็นตัวเลือกให้ผู้อ่านหลายๆท่านที่กำลังรู้สึกกลัวน้องน้ำแบบผม

 

ปรับโฉมให้ดูหรู พร้อมความแข็งแกร่ง

การปรับโฉม New TOYOTA Fortuner ต้องบอกว่าเป็น “Big Minor Change” ครั้งใหญ่จริงๆ เพราะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเริ่มจากกันชนหน้า-หลัง ที่ปรับให้เป็นเหลี่ยมสันมากขึ้น ซึ่งในจุดนี้ทางโตโยต้า เน้นถึงความแข็งแกร่งของตัวรถ ส่วนกระจังหน้าแม้เส้นสายจะดูออกแนวเหลี่ยม แต่หรูด้วยสีโครเมียม ขนาบไว้กับส่วนไฟหน้าเป็นแบบโปรเจ็คเตอร์ที่ดีไซน์ให้ดูเป็นอัญมณีชั้นเลิศ เพิ่มทัศนวิสัยยามค่ำคืนที่ดีขึ้น   ด้านข้างปรับโป่งล้อ (Over Fender) ให้มีเส้นสายให้โค้งมนคล้าย SUV ตัวหรูของค่าย กระจกมองข้างไฟฟ้านอกจากดีไซน์ให้ต้านลมน้อยลงแล้วยังโฉบเฉี่ยวขึ้น พร้อมไฟเลี้ยวในตัวด้วย

ส่วนท้าย

โดดเด่นมากด้วยโคมไฟท้ายแบบมัลติรี เฟล็กเตอร์ที่ดูคล้ายซ่อนอัญมณีสีแดงไว้ข้างใน ซึ่งนอกจากจะดูหรูหราแล้วยังสามารถให้รถคันหลังที่ตามมา มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม สุดท้ายเป็นแผ่นคิ้วโครเมี่ยมที่ฝาท้ายพร้อมโลโก้ “Fortuner” ที่ใช้ฟอนท์ดุดันเพื่อสะท้อนความแข็งแกร่งตามคอนเซ็ปท์ตัวรถ ในเรื่องการดีไซน์ภายนอกส่วนตัวผมมองว่าเป็นการ “Minor Change” ที่คุ้มค่ากับผู้บริโภคเพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลายจุด แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด มองแล้วเป็นการยกระดับจากรุ่นเดิมให้กลายมาเป็น SUV ในระดับรถหรูมากขึ้น

 

 

ให้มาครบเหมาะกับ SUV Style.

เปิดประตูมาชมภายในการปรับปรุงเริ่มตั้งแต่พวงมาลัยดีไซน์ใหม่แบบ  4 ก้านพร้อม Multi-function บนพวงมาลัย ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสไม่ต้องละสายตาหรือเอื้อมมือไปในส่วนของคอนโซลความปลอดภัยในการขับจึงมีมากขึ้น ส่วนหลังพวงมาลัยก็มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ให้ด้วย ในส่วนแผงคอนโซลหน้า เพิ่มความหรูด้วยลายไม้สีดำเงา ส่วนคอนโซลหน้ากลางด้านบนสุดมี จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ (MID) ซึ่งเป็นทั้งเข็มทิศ, นาฬิกาดิจิตอล, บอกอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขณะขับขี่ (กม./ลิตร), คำนวนระยะทางที่น้ำมันในถังสามารถวิ่งได้ และบอกอุณหภูมิภายนอก บนเพดานหลังคามีที่เก็บแว่นตา  ไฟส่องแผนที่ ที่ดีไซน์แบนเรียบกับเพดานหลังคาใช้งานได้สะดวก

 

ระบบเครื่องเสียง

ส่วนระบบเครื่องเสียงแบบ1DVD พร้อมจอสัมผัสขนาด 6.1” เมนูบนจอแสดงภาพแบบ Touch-screen สามารถเล่นวิทยุ ซีดี ดีวีดี พร้อมระบบ MP3 / WMA และลำโพง 6 ทิศทาง พร้อมระบบ ASL ปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ เพิ่มช่องทางความบันเทิงให้มากขึ้นด้วย ช่องต่อ USB / AUX ระบบเชื่อมต่อแบบ Bluetooth  เชื่อมต่อระบบ Hand free ของโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การสนทนา และควบคุมโทรศัพท์เป็นไปอย่างง่ายดาย แต่ที่ผมลองแล้วสนุกกว่านั้นอีก ผมลองสั่งงานผ่าน iphone4 เชื่อมด้วย Bluetooth สามารถเลือกเพลงจาก iphone4 ได้สบายโดยไม่ต้องเชื่อมจากสาย USB ครับ ในส่วนกล้องมองหลังแสดงบนหน้าจอยังมีให้เหมือนเดิม

 

ความอเนกประสงค์

ส่วนเบาะนั่งเป็นแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง หุ้มด้วยหนังอย่างดีสีเบจปรับไฟฟ้า ตัวเบาะนั่งสบายกว้างขวางและยังสามารถปรับได้จนรู้สึกสบาย ในส่วนของภายในผมว่าเค้าให้ความอเนกประสงค์มาเยอะดีครับ อุปกรณ์ที่ให้ก็มีพอๆ กับ SUV ที่ราคาเกิน 2 ล้านบาท เรื่องระบบแอร์ก็มีให้ตอนหลังด้วย แถมสวิทซ์เปิด-ปิด ก็ทำงานแยกกับตอนหน้าทำให้สะดวกสบายเย็นทั่วทั้งคันแน่ๆ ครับ

 

 

 

ความแรงไหลลื่น พร้อมนวตกรรมความประหยัด

ออกเดินทางลองสมรรถนะกันสักที เครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้ยังใช้พื้นฐานเดิมจากรุ่นเก่าในรหัส 1KD-FTV แบบ 4 สูบ 16 วาว์ล ความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ VN TURBO ให้กำลังสูงสุด 163  แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 3,200 รอบ/นาที มาดูความพิเศษที่เพิ่มมาในรุ่นนี้ดีกว่า  คือ ระบบ Diamond Tech ซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็น กล่องคอมพิวเตอร์แบบ 32 บิทที่สามารถเรียนรู้และจดจำพฤติกรรมการขับขี่ ทำหน้าที่สั่งจ่ายน้ำมันแม่นยำ ไม่มีการจ่ายเชื้อเพลิงเกินในทุกรอบเครื่องยนต์ โดยกล่อง ECU ควบคุมการทำงานระบบของเครื่องยนต์โดยใช้การคำนวนลดปริมาณน้ำมัน ไม่ให้มีส่วนเกินทุกครั้งที่มีการลดความเร็วรอบเครื่อง โดยการคำนวนและแยกการสั่งจ่ายน้ำมันออกจากกันในแต่ละกระบอกสูบอย่างสิ้นเชิง คือง่ายๆ แต่ละสูบจะมีการจ่ายน้ำมันไม่เท่ากัน กล่อง ECU จะคำนวนว่าสูบไหนควรใช้น้ำมันเท่าไหร่ และจะสั่งจ่ายเท่าที่จำเป็นต้องใช้งานเท่านั้น หัวฉีด Commonrail Direct Injection ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเป็นละอองฝอยที่มีความละเอียดสูงแบบ 12 รู ช่วยให้การเผาไหม้หมดจดมากขึ้น  ชและยังทำให้มีความแรงแบบต่อเนื่องและประหยัดน้ำมันมากขึ้น ต่อมากลไกชุดหัวฉีดภายในยังเคลือบสาร Diamond Liked Carbon Coating ช่วยให้การฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงคล่องขึ้นและป้องกันการเกาะตัวของคราบเขม่าที่ เกิดขึ้นจากการเผาไหม้บริเวณช่องจ่ายน้ำมันของหัวฉีด ช่วยลดปัญหาการอุดตันของหัวฉีดด้วย

 

ระบบอัดอากาศ

ส่วนระบบอัดอากาศแบบ VN Turbo  Intercooler เป็นเทอร์โบแปรผันที่สามารถควบคุมครีบปรับแรงดันด้วยมอเตอร์ ผ่านการสั่งงานจากคอมพิวเตอร์ 32 บิต โดยสั่งการทั้งการปิด-เปิดครีบปรับแรงดันอากาศ รวมถึงองศาการเปิด-ปิดที่เหมาะสมสัมพันธ์ในทุกย่านรอบเครื่องยนต์

 

 

ในการทดสอบครั้งนี้ผมใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา ซึ่งไม่ไกลมาก เพราะผมเองเคยไปทดสอบทริปรวมที่เกาะสมุยมาแล้ว ซึ่งตัวที่เคยขับก็เป็น 3.0 ลิตรเหมือนกัน เครื่องยนต์ตัวนี้พอมาทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด จะแตกต่างกับรุ่นเก่าตรงความไหลลื่นของความเร็ว ซึ่งจะไม่กระชากเวลาเปลี่ยนเกียร์ เวลากดคันเร่งจมๆ จะไม่ถึงกับหลังติดเบาะ ความเร็วจะไหลขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ขึ้นเร็วใช้ได้ ยิ่งอยู่ในช่วง 3,000 – 4,000 รอบ/นาที ดุดันดีไม่น้อย จนความเร็วผมไหลไปเกือบ 180 กม./ชม. แต่ตอนที่ผมขับถนนไม่โล่งพอที่จะหาความเร็วสูงสุดได้ ในเรื่องของอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงเรื่องนี้คนไทยก่อนซื้อรถกังวลกันมาก ความเร็ว 90 กม.ชม. ประมาณ 18 กม./ลิตร ความเร็ว 120  กม./ชม. ประมาณ 14 กม./ลิตร (วัดจากจอแสดงข้อมูลการขับขี่ในรถ) แต่ผมทำการทดสอบเป็นระยะทาง 235 กม. เติมน้ำมันไป 488 บาท (ดีเซลลิตรละ 31.13 บาทต่อลิตร) ซึ่งต้องบอกว่าความเร็วไม่คงที่นัก ช่วงขับช้าก็ประมาณ 100 กม./ชม. เร็วก็ 160 กม./ชม. สลับกันไปครับ ในส่วนของเครื่องยนต์ผมว่าทำได้ดีกำลังเหลือ แต่ถ้าเพิ่มเป็นเกียร์อัตโนมัติเป็น 5 สปีด ปรับอัตราทดใหม่ให้ประหยัดน้ำมันมากกว่านี้ จะแจ่มเลยครับ

 

นิ่มนวลขึ้น การทรงตัวดีขึ้น

ระบบช่วงล่างหลักยังคงเดิม แต่ปรับปรุงให้มีความนิ่มนวลที่มากขึ้น การทรงตัวในความเร็วสูงดีขึ้น เติมล้อแม็กอัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้วที่รัดไว้ด้วยยาง 265/65 R17 เข้าไปอีก ในความรู้สึกผมที่แปลก คือ ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ผมจะมั่นใจในการขับขี่มาก เปลี่ยนเลนซ้าย-ขวา  ตอบสนองได้ดี แต่ในความเร็ว 80-90 กม./ชม. กลับรู้สึกโคลงเล็กน้อย ซึ่งไม่ทราบว่ารู้สึกแบบนี้ได้ยังไง ส่วนในโค้งต่างๆ ถ้าเปรียบกับรถสูงๆ ในราคาระดับเดียวกันก็ไม่เป็นรองใคร ถือว่าใช้ได้ ที่สำคัญผมชอบตรงความนิ่มนวลที่มีมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทำให้เวลาเดินทางไกลๆ ไม่เหนื่อยล้ามากนักครับ

 

 

    New TOYOTA Fortuner 3.0V 2WD ใน ราคา 1,319,000 บาท กับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในหลายๆ ฟังค์ชั่นการใช้งานที่มาครบในสไตล์ SUV อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ไม่น้อยเกินไปและความปลอดภัยที่ไว้ใจได้ ผมก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะบ้างทีถ้าเราไม่มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องบุกตะลุยมากนัก 2WD ก็เหลือเฟือแล้วครับ ที่สำคัญประหยัดเงินไปได้เกือบแสน ท่านที่สนใจลองไปสัมผัสดูได้ทุกโชว์รูมของ TOYOTA ทั่วประเทศครับ