รีวิว : NISSAN Pulsar ( นิสสัน พัลซ่าร์ ) เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง เพื่อพิสูจน์ DNA NISSAN ในลุคส์ใหม่ของ “Pulsar”

บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด นำตำนาน Hatchback ตัวแรง ภายใต้ชื่อ “Pulsar” มาปรับโฉมสนองทุกความต้องการของทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อให้เป็น Mass Production แบบยั่งยืน เพื่อให้สื่อมวลชนทำความรู้จักกับภาพลักษณ์ใหม่ของ NISSAN Pulsar ( นิสสัน พัลซ่าร์ ) จึงต้องจัดกิจกรรมการทดสอบเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง เพื่อพิสูจน์ DNA NISSAN ในลุคส์ใหม่ของ “Pulsar”

NISSAN Pulsar

ออกมาภายใต้คอนเซ็ปท์ “Smart Stress-free Premium Hatchback” ซึ่งรวมความโดดเด่นไว้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแบบแฮทช์แบค 5 ประตู ออกแบบให้มีความรู้สึกสปอร์ตเมื่อแรกเห็น โดยนำเส้นสายความเป็นสปอร์ตของ Nissan 370Z มาโลดแล่นลงบนตัวรถด้านข้าง ไฟหน้าเป็นแบบโปรเจ็คเตอร์ ไบ-ซีนอน ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รูปลักษณ์ภายในที่กว้างขว้างนั่งสบาย ระบบปรับอากาศแยกอิสะ พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ระบบฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย ซึ่งเป็น DNA หลักของนิสสันยุคนี้ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งระบบหัวฉีดคู่ พร้อม Twin C-VTC ระบบนำทาง Navigation System

 

ด้านข้างและไฟท้าย

ความรู้สึกแรกของผมก่อนการเดินทาง คือ Pulsar ปี 2013 จะเป็นการพลิกโฉมจาก “ตำนาน Hatchback ตัวแรง” ที่มีคนกลุ่มเล็กๆ อย่างผมที่หลงไหลในแรงม้าของเครื่องยนต์ SR ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่พร้อมจะกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งรถประเภทนี้ต้องเป็น “คนที่หลงไหลในแรงม้า” เท่านั้นถึงจะเลือกมาครอบครอง แต่วันนี้ “Pulsar” กำลังจะกลายมาเป็นรถของทุกคนในครอบครัว ถ้าจะให้มองถึงเรื่องการออกแบบ ในส่วนของด้านข้างและไฟท้าย ซึ่งนำ DNA NISSAN 370Z มาเต็มๆ นอกจากนี้สปอยเลอร์ท้ายกับ Sunroof แบบ One touch พร้อมกระจกกรองแสง UV ที่เข้ามาเติมเต็มความสปอร์ตให้ครบถ้วน

 

การออกแบบภายใน

ในช่วงแรกของการทดสอบผมเป็นผู้โดยสารที่ดี เปิด Note Book วางตักนั่งทำงานอย่างสบายใจ แต่ก็สังเกตถึงเรื่องการออกแบบภายในไปด้วย อย่างแรกที่สังเกตได้ คือ DNA ความกว้างของภายใน ซึ่งเป็นผลจากระยะฐานล้อยาวถึง 2,700 มม. การดีไซน์ของคอนโซลนำสไตล์ของรุ่นพี่มาปรับใช้กับ Hatchback มีฟังก์ชั่นให้ครบครันทั้ง ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เนวิเกเตอร์ทำงานผ่านจอทัชสกรีน มีฟังก์ชั่นเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ และระบบเชื่อมต่อ USB แต่ความละเอียดในการออกแบบไม่ได้หมดเท่านี้ เพราะจุดต่างๆ ที่คุณสัมผัสไม่ว่าจะเป็นที่ท้าวแขนต่างๆ ทุกจุดมีการบุฟองน้ำหุ้มหนังอย่างดี ทำให้เวลาวางแขนไว้ที่จุดไหนก็ตามคุณจะรู้สึกถึงความสบาย ส่วนเบาะนั่งในคู่หน้าจะเป็นกึ่งสปอร์ตนิดๆ โอบร่างกายเราสักหน่อย ด้านหลังออกแบบเน้นความสบายอย่างเดียว จุดที่น่าสนใจอีกจุด คือ การเก็บเสียงภายในที่ดี ข้อติก็มีอยู่บ้างในเรื่องทัศนวิสัย แม้จะมีทัศนะวิสัยด้านหน้าดี แต่การมองกระจกมองหลังคุณจะถูกหมอนรองศรีษะทั้งซ้าย กลาง ขวา บังคุณอยู่ทำให้รำคานสายตาสักหน่อย

 

เครื่องยนต์

ขยับปรับที่นั่งยึดเส้นยึดสายออกแรงขับบ้าง NISSAN Pulsar มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 บล็อค คือ 1.6 ลิตร กับ 1.8 ลิตร ในส่วนของ 1.6 ลิตร เป็นรหัส HR16DE มีความจุกระบอกสูบ 1,598 ซีซี. มีแรงม้า 116 แรงม้า พร้อมแรงบิด 154 นิวตัน-เมตร แต่ในการทดสอบครั้งนี้เป็นรุ่น 1.8 ลิตรทุกคัน ซึ่งใช้รหัสเครื่องยนต์ MRA8DE แบบ 4 สูบ DOHC ความจุกระบอกสูบ 1,798 ซีซี. แรงม้าสูงสุด 131 แรงม้าที่ 6000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตัน-เมตรที่ 3600 รอบต่อนาที ซึ่งเครื่องยนต์บล็อคนี้ได้รับการพัฒนาด้วย การเพิ่มช่วงชักกระบอกสูบผสานไปกับการทำงานของระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously-Variable Timing Control) เพิ่มระยะชักกระบอกสูบให้ยาวขึ้นทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย เพื่อให้การเผาไหม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเคลือบแข็งระบบสปริงวาล์ว Diamond-like carbon coating ช่วยลดน้ำหนัก แรงเสียดทานและแรงเฉื่อยของวาล์ว เสริมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ เงียบขึ้นและ เพิ่มระยะการเปิดของไอเสียให้มากขึ้น ลดระยะการเปิดของไอดีให้น้อยลง แถมด้วยระบบหัวฉีดคู่ Dual Injector ซึ่งมีการฉีดน้ำมันในปริมาณน้อยเป็นฝอยมากขึ้น พร้อมทั้งลดระยะการฉีดลง 30 % ทำให้การประหยัดน้ำมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบขับเคลื่อนแบบ XTRONIC CVT รองรับสไตล์การขับขี่ได้ถึง 700 รูปแบบ โดยแปรผันจากการเรียนรู้วิธีการขับขี่ของคุณ

 

อัตราเร่ง

จากความตั้งใจของนิสสันที่ต้องการให้ Pulsar เป็นรถที่ขับสบายๆ มากกว่าที่จะเป็นรถสปอร์ต ทำให้เรื่องอัตราเร่งไม่ได้กระโจนทะยานมากนัก แต่เป็นรถที่ขับได้แบบรื่นรมย์มากกว่า จังหวะการปรับเปลี่ยนของเกียร์ถือว่าไหลรื่นราบเรียบ อัตราเร่งก็เช่นกันไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งสามารถไปถึง 200 กม./ชม. ได้ไม่ยาก แต่ถ้าคุณอยากจะสนุกกับความแรง ทางนิสสันได้วาง “Power Mode” ไว้ที่ข้างเกียร์เพียงคุณกดปุ่ม อารมณ์การขับขี่จะปรับเข้าสู่ความเป็นสปอร์ตทันที จะมีรอบเครื่องยนต์มารอในช่วง 3,500 รอบ/นาที ซึ่งเป็นช่วงที่แรงบิดมาเต็มที่ ทำให้เวลาคุณกดคันเร่งเพิ่มลงไป รถจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วขึ้น ส่วนเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันทางนิสสันส่งผลจากแล็ปมาให้ชมอยู่ที่ 14.9 กม./ลิตร แต่เท่าที่ขับมาในความเร็วเฉลี่ยประมาณ 110 กม./ชม. สังเกตจากมาตรวัดเฉลี่ยอยู่ที่ 14.8 กม./ลิตร

 

ระบบกันสั่นสะเทือน

ในส่วนของระบบกันสั่นสะเทือนแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลงในด้านหน้า และทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลงที่ด้านหลัง ทำงานประสานกันอย่างลงตัว อารมณ์การขับขี่ที่นิ่มนวลเกิดขึ้นตลอดเวลาของการเดินทาง ส่วนการควบคุมในทางโค้ง พวงมาลัยไฟฟ้า ESP ที่สามารถแปรผันตามความเร็ว ในความเร็วต่ำไม่ได้เป็นปัญหา แต่ในความเร็วสูงคุณผู้ชายที่รักความสปอร์ตจะรู้สึกว่าน้ำหนักเบาไปบ้าง แต่ทางนิสสันต้องการให้ออกมาในลักษณะนั้น เพื่อต้องการตอบโจทย์การขับขี่ที่สบายมากกว่าสปอร์ต เวลาเข้าโค้งเร็วๆ คุณอาจจะรู้สึกหวิวๆ ไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วช่วงล่างยังสามารถที่จะรับความเร็วในโค้งได้มากกว่านั้นก็ตาม

 

NISSAN Pulsar ที่มี ราคาเริ่มต้น 776,000 – 976,000 บาท สำหรับผมแล้วเป็นอรรถรสการเดินทางที่นิ่มนวล สะดวก สบาย ฟังก์ชั่นการใช้งานครบถ้วน ออกแบบมีกลิ่นอายของความเป็นสปอร์ต ตำนาน Pulsar บทนี้ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่น่าสนใจ แต่ผมเชื่ออยู่ว่า วันหนึ่งที่ตลาดเมืองไทย พร้อมที่จะยอมรับความแรงระดับ 200 แรงม้า Pulsar Body นี้ ก็ยังสามารถกลับมาเป็น “ตัวแรงในดวงใจของเราเช่นเดิม” สุดท้ายรถหนึ่งคันจะเหมาะสมกับคุณหรือไม่ คุณเองนั่นแหละ คือ ผู้ตัดสินใจ พบกับ NISSAN Pulsar ได้ทุกโชว์รูมของนิสสันได้แล้วทั่วประเทศ

 

แท็กยี่ห้อรถยนต์ : Nissan

แท็กฮิต : , , , ,