รีวิว ทริป : มาสด้า ชวนขับพิสูจน์สมรรถนะ New Mazda CX-8 กับเส้นทางสุดท้าทาย ใต้สุดแดนสยาม หาดใหญ่ – เบตง
มาสด้า ชวนขับพิสูจน์สมรรถนะ New Mazda CX-8 เส้นทาง หาดใหญ่ – เบตง
เมื่อพูดถึงการเดินทางไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แน่นอนว่าหลายๆ ท่าน รวมไปถึงผู้เขียนเองด้วย ก็จะมีความเกร็งหน่อยๆ พร้อมกับมีคำถามต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำถามเรื่องของ ความปลอดภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบ คำถามเรื่องของ การเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก อาหารการกิน ซึ่งจะว่าไปก็ยังมีข้อมูลน้อยมากที่จะให้เราได้ค้นคว้า ทำให้หลายท่านจำต้องพับเก็บโปรแกรมการท่องเที่ยวเส้นทางนี้ไว้เป็น wait list การเดินทางกันต่อไป
สำหรับผู้เขียนเอง พอได้รับหมายเชิญร่วมเดินทางขับทดสอบสมรรถนะเจ้า New Mazda CX-8 ยนตกรรมรุ่นล่าสุดจากมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย โดยมีเส้นทางทดสอบเป็นเส้นทางท่องเที่ยว ใต้
ฮาโหลววววววว!!! “เบตง” รอทักอิชั้นด้วยนะคะ ^^
วันแรกของการเดินทาง
05:00 น. นี่คือเวลานัดหมายที่สนามบินดอนเมือง เพื่อเช็คอินเดินทางกับสายการบิน แอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD 3102 ซึ่งจะออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบินอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที (06:20 – 08:00 น.)
เมื่อเครื่องลงที่สนามบินหาดใหญ่เป็นที่เรียบร้อย ก็มีรถตู้โดยสารมารับกรุ๊ปเราไปยัง โชว์รูม มาสด้า ชูเกียรติยนต์ หาดใหญ่ เพื่อฟังบรรยายสรุปข้อมูลการเดินทาง และข้อมูลของพาหนะที่จะพาเราเดินทางไปท่องเที่ยวชายแดนภาคใต้ตลอด 2 วันค่ะ
10.00 น. หลังจากรับฟังบรรยายสรุปข้อมูลการเดินทางเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางจากจากโชว์รูมมาสด้า อำเภอหาดใหญ่ ไปยังจังหวัดปัตตานี ซึ่งการเดินทางเราใช้ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 43 สายหาดใหญ่–มะพร้าวต้นเดียว เป็นทางหลวงแผ่นดินสายประธานที่สำคัญสายหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงเอเชียสาย 18 โดยทางหลวงสายนี้เป็นทางหลวงเส้นใหม่ที่ตัดขึ้นเพื่อย่นระยะทางจากจังหวัดสงขลาไปยังจังหวัดปัตตานี แทนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 โดยเป็นทางหลวงขนาด 4 ช่องจราจรตลอดสาย
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ จ.ปัตตานี
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
ใช้เวลา 1 ชั่วโมงโดยประมาณ ที่ขับเจ้า New Mazda CX-8 ออกจากโชว์รูมมาสด้า ชูเกียรติยนต์ หาดใหญ่ เราก็มาถึงจุดแวะพักท่องเที่ยวจุดแรก นั่นก็คือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เทพเจ้าแห่งความเมตตา โชคลาภ ค้าขาย ซึ่งก็มีผู้คนมากมายนิยมมากราบไหว้ของพรเพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิต
.
.
โดยประวัติความเป็นมาของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันมาบ้าง ตามตำนานเล่าว่า ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นสาวชาวจีนจากเมืองฮกเกี้ยน ซึ่งเกิดในช่วงสี่ถึงห้าร้อยปีมาแล้ว นางเดินทางลงเรือสำเภามายังเมืองปัตตานี เพื่อตามพี่ชายชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยม ให้กลับไปหามารดาที่ชราภาพที่บ้านเกิด แต่ได้พบความจริงว่าพี่ชายของตนได้แต่งงานกับธิดาพระยาตานีแล้วเข้ารับราชการในจวนเจ้าเมือง และได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่สามารถกลับไปยังเมืองจีนพร้อมนางได้ ลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ดังสัจวาจาที่กล่าวไว้กับมารดาว่า “หากตามพี่ชายกลับไปหามารดาไม่ได้จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป” ลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ชายจึงได้ฝังศพของนางไว้ที่ฮวงซุ้ยที่หมู่บ้านกรือเซะนอกเมืองปัตตานี กล่าวขานกันว่าดวงวิญญาณของนางได้แสดงอิทธิฤทธิ์เป็นที่เลื่องลือในหมู่ชาวบ้านทั่วไป พอมีผู้มาขอพรให้โชคลาภก็ได้ผล หรือแม้แต่การค้าขายที่ซบเซาหรือขาดทุนก็กลับรุ่งเรืองขึ้น ทำให้เกิดความนับถือศรัทธาอย่างมาก ชาวปัตตานีจึงได้นำต้นไม้ที่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายมาแกะสลักเป็นรูปบูชา และสร้างศาลเจ้าขึ้นสักการะ
มัสยิดกรือเซะ หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์
มัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ในจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองปัตตานี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตรสันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มัสยิดปิตูกรือบัน” ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบโกธิคของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง รูปลักษณะเป็นอาคารก่อสร้างด้วยอิฐปูน เสาทรงกลมเลียนรูปลักษณะแบบเสาโกธิคของยุโรป ช่องประตูหน้าต่างมีทั้งแบบโค้งแหลมและโค้งมนแบบโกธิค โดม และหลังคายังก่อสร้างไม่เสร็จ อิฐที่ใช้ก่อมีรูปลักษณะเป็นอิฐสมัยอยุธยา ตรงฐานมัสยิดมีอิฐรูปแบบคล้ายอิฐสมัยทวารวดีปะปนอยู่บ้าง
.
ก่อนออกเดินทางจากตัวเมืองปัตตานี ก็พอดีกับเวลาอาหารกลางวัน ในวันนี้เราแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ ภัตตาคาร ลอนดอน ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนขนาดใหญ่ สะดวกด้วยเรื่องของที่จอดรถ สามารถรองรับกับการเดินทางเป็นกรุ๊ปคาราวานขนาดใหญ่แบบกรุ๊ปของเราค่ะ
.
จากภัตตาคาร ลอนดอน จังหวัดปัตตานี เราต้องเร่งทำเวลากันนิดนึงเพื่อออกเดินทางมุ่งสู่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยมีปลายทางอยู่ที่ อุโมงค์ปิยะมิตร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดปัตตานี
.
อุโมงค์ปิยะมิตร
ไฮไลท์จุดแรกของที่นี่ก็คือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปิยะมิตร ซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกอุโมงค์ที่เคยเป็นลานฝึกทหาร ได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ รวบรวมของเก่าที่มีการใช้งานในสมัยนั้นมาสะสมไว้มากมาย ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนเป็นของที่ใช้จริงในป่า มีการจัดแสดงภาพ และเรื่องราวประวัติศาสตร์ รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตในป่าไว้อย่างน่าสนใจ
.
และก็มาถึงไฮไลท์สำคัญของสถานที่แห่งนี้ นั่นก็คือ อุโมงค์ที่ถูกขุดเข้าไปในภูเขา มีชื่อเรียกว่า อุโมงค์ปิยะมิตร เป็นอุโมงค์ที่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ อดีตกลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) สร้างขึ้นเป็นฐานของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา เขต 2 เมื่อปี พ.ศ. 2519 เพื่อใช้หลบการโจมตีทางอากาศและเป็นที่สะสมเสบียง
อุโมงค์นี้ขุดขึ้นโดยใช้กำลังคน 45-50 คน ใช้เวลาในการขุดเพียง 3 เดือน มีทางเข้าออกอุโมงค์ 9 ทาง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 ทาง ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหมด อุโมงค์มีความกว้างประมาณ 50-60 ฟุต ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในสามารถจุคนได้เกือบ 200 คน ภายในอุโมงค์ก็จะทำเป็นห้องเล็กๆ แต่ละห้องก็จะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป เช่น ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง สถานีวิทยุ ภายในอุโมงค์อากาศเย็นสบาย มีการติดไฟให้แสงสว่างตลอดเส้นทาง
.
สำหรับไฮไลท์สุดท้ายของที่นี่ที่ไม่ควรพลาดก็คือ ต้นไทรยักษ์ หรือชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่า ต้นไม้พันปี วัดโดยรอบได้ 60.8 เมตร สูง 40 เมตร ซึ่งต้นไทรยักษ์ต้นนี้ได้ถูกจัดให้เป็นรุกขมรดกของแผ่นดินใต้ร่มพระบารมีด้วยค่ะ
.
เราใช้เวลาอยู่ที่อุโมงค์ปิยมิตรเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดเช็คอินสุดท้ายของเส้นทางท่องเที่ยว on road กับเจ้า New Mazda CX-8 ในวันนี้ นั่นก็คือ ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 20 นาที จากจุดนี้
.
จากจุดเช็คอินสุดท้ายที่ ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย เราใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 15 นาที เข้าสู่ตัวเมืองเบตง เพื่อเช็คอินที่พัก ซึ่งคืนนี้กรุ๊ปของเราพักกันที่ โรงแรมแกรนด์แมนดาริน Grand Mandarin Betong ตั้งอยู่ในย่านการค้าของเมืองเบตง และที่สำคัญที่ตั้งของโรงแรมยังอยู่ใกล้กับอุโมงค์ทางลอดที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเบตงอีกด้วย นั่นก็คือ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ … และแน่นอนว่า เราสามารถเดินไปถ่ายรูปเช็คอิน ชมความสวยงามกันได้แบบชิลล์ๆ เลยค่ะ
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
เป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณ ถนนอมรฤทธิ์ ตัดกับ ถนนภักดีดำรง เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังถนนเส้นหลักใหญ่ๆ ของเบตง โดยอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์นั้นได้ขุดลอดภูเขาให้รถยนต์สามารถวิ่งไปมาได้สะดวก สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความยาวตลอดอุโมงค์ ประมาณ 273 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2544
.
มาถึงเบตง อย่าพลาด!! > เมนูเด็ด “ไก่สับเบตง” สูตรต้นตำรับ
จากโรงแรม เราเดินลัดเลาะไปตามฟุตบาทถนนย่านการค้าของเมืองเบตง เดินไปประมาณ 500 เมตร เราก็เจอจุดนัดหมายสำหรับมื้อค่ำวันนี้ … “ต้าเหยิน (กิตติ)” ร้านอาหารจีนต้นตำรับชื่อดังของเบตง เป็นร้านอาหารจีนเก่าแก่ สืบทอดรสชาติอาหารจากรุ่นสู่รุ่น โดยยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าใครที่มาเยือนเมืองเบตงจะต้องเข้ามาลิ้มชิมรสอาหารจีนขึ้นชื่อของเบตงที่ร้านนี้ อาทิเช่น ไก่สับเบตง ปลาจีนนึ่งบ๊วย เคาหยก ถั่วเจี๋ยน และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย
ร้านตั้งอยู่ที่ 253 ถ.สุขยางค์ ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ย่านการค้า บริเวณใกล้กับหอนาฬิกาเบตง สามารถโทรติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่เบอร์ 073 230 461 (แนะนำว่าถ้าจะมาทานควรโทรจองโต๊ะล่วงหน้านะคะ)
.
วันที่สองของการเดินทาง
08.00 น. หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมที่พัก การเดินทางวันที่สองของเรากับเจ้า New Mazda CX-8 ก็เริ่มต้นอีกครั้ง โดยจุดหมายแรกของเราในเช้าวันนี้ เราจะเดินทางขึ้นเขาไปชมทะเลหมอก ณ อัยเยอร์เวง Skywalk จุดชมวิวทะเลหมอกที่ยาวที่สุดในอาเซียน จะเรียกว่าที่นี่ถือเป็นแลนมาร์คชายแดนใต้แห่งใหม่ก็ว่าได้
อัยเยอร์เวง Skywalk
สกายวอร์คอัยเยอร์เวงแห่งนี้ ใช้งบประมาณการก่อสร้างกว่า 90 ล้านบาท มีไฮไลท์สำคัญ คือ ระเบียงทางเดินที่ยื่นออกไปจากฐานมีความยาวรวมถึง 51 เมตร ตั้งอยู่บนระดับความสูง 2,038 ฟุต ส่วนปลายเป็นระเบียงชมวิวพื้นกระจกใสที่สามารถมองทะลุลงไปได้ถึงพื้นเบื้องล่าง ซึ่งสร้างเสน่ห์สีสัน และความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมกับวิวทิวทัศน์ของผืนป่าฮาลา-บาลา และทะเลสาบเขื่อนบางลาง รวมถึงสามารถมองไปไกลได้ถึงประเทศมาเลเซียเลยทีเดียว ถือเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของ อ.เบตง มีความโดดเด่นในเรื่องของการชมพระอาทิตย์ขึ้นรับแสงแรกยามเช้า ควบคู่ไปกับการชมทะเลหมอกอันงดงามในมุมมองใหม่ ซึ่งสามารถเห็นได้ตลอดทั้งปี
.
หลังจากได้ดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติ ชาร์จแบตเติมออกซิเจนให้ปอดจนเต็มแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยัง วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี เพื่อกราบนมัสการขอพรจากหลวงปู่ทวด ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะ
วัดราษฎร์บูรณะ หรือ วัดช้างให้
ตั้งอยู่ที่ ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิฐานปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป จนช้างได้มาหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จึงใช้บริเวณนี้สร้างเมือง แต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้ดำจึงให้สร้างวัด ณ บริเวณดังกล่าวแทน แล้วให้ชื่อว่า วัดช้างให้ แล้วนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านลังกา หรือ สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านได้เดินธุดงค์ไปมาระหว่างเมืองไทรบุรีกับวัดช้างให้ และได้สั่งลูกศิษย์ไว้ว่าถ้าท่านมรณะภาพขอให้นำศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ ซึ่งเมื่อท่านมรณะภาพที่เมืองไทรบุรี ลูกศิษย์ก็ได้นำศพท่านมาทำการฌาปนกิจที่วัดช้างให้ อัฐิของท่านส่วนหนึ่งฝังไว้ที่วัดช้างให้ อีกส่วนหนึ่งนำกลับไปเมืองไทรบุรี ต่อมาได้สร้างสถูปบรรจุอัฐิของท่านไว้ที่วัด
.
.
จากวัดช้างไห้ เราขับเจ้า New Mazda CX-8 มุ่งหน้ากลับไปยัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อนำรถไปจอดส่งคืนที่โชว์รูมมาสด้า ชูเกียรต์ยนต์ ที่นี่เรามีรถรถตู้โดยสารมารอรับนำพวกเราเดินทางไปยังสนามบินหาดใหญ่ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินของสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD 3115 ออกเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่เวลา 18.00 น. ถึงสนามบินดอนเมือง 19.30 น. ปิดทริปโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัยกลับบ้านทุกคน
ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จัดทริปให้เราได้มาร่วมพิสูจน์สมรรถนะของรถครอสโอเวอร์อเนกประสงค์ New Mazda CX-8 บนเส้นทางสุดท้าทาย ใต้สุดแดนสยาม หาดใหญ่ – เบตง ซึ่งถือว่าเป็นทริปที่มาเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวชายแดนภาคใต้ OK เบตง ครั้งแรกในชีวิตของผู้เขียนโดยแท้ … ขอบคุณค่ะ ^^
New Mazda CX-8
New Mazda CX-8 เป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวีระดับเรือธงของมาสด้าสำหรับตลาดประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความพึงพอใจและการใช้งานจริงให้กับรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลายของลูกค้ามาสด้า โดยถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น หรือต้องการความจุที่นั่งมากขึ้น รวมถึงผู้ที่ต้องการคุณภาพที่สูงกว่า และความสะดวกสบายที่มากกว่าเมื่ออยู่บนท้องถนน มีการปรับเปลี่ยนมากขึ้นกว่าเดิมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น ผสานกับเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่ถูกยกระดับมาอย่างเต็มเปี่ยมครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น
ยกระดับดีไซน์ภายนอกให้สอดคล้องกับรถยนต์มาสด้าเจเนอเรชั่นใหม่ ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ตามแบบฉบับของมาสด้า และเป็นครั้งแรกที่เพิ่มสีภายนอกเทรนด์ใหม่ กับสีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์ บ่งบอกถึงความพรีเมี่ยมเหนือระดับ พร้อมเปิดมุมมองใหม่ให้กับทุกการเดินทางด้วยหลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า
.
ภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งเพิ่มความโดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพสูงแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งด้วยวัสดุ Warm Silver ที่มาพร้อมเบาะหนังสีดำ หรือวัสดุ Metal Wood ที่มาพร้อมเบาะหนัง Nappa สีแดง Deep Red มีให้เลือกทั้งห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง (7-Seat) และแบบ 6 ที่นั่ง (6-Seat) แบบใหม่ โดยได้รับการยกระดับให้ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัว และเพิ่มพื้นที่ให้กับทุกคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น
โดยในรุ่น 6 ที่นั่ง (6-Seat) มาพร้อมกับ 2 ทางเลือก ได้แก่ ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง Captain seat แยกอิสระซ้าย ขวา (Captain seats with center walk-through (6-Seat) ที่สามารถเดินเชื่อมได้ถึงเบาะนั่งแถวที่สาม และห้องโดยสารแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง Captain seat ปรับไฟฟ้า (Power captain seats (6-Seat) พร้อมคอนโซลกลาง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของแต่ละครอบครัวได้อย่างลงตัว
.
เทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด Mazda Connect ช่วยให้ไม่พลาดทุกการติดต่อ สามารถอัพเดทข้อมูลข่าวสาร หรือ รับ-ส่ง ข้อความ จากสมาร์ทโฟนผ่านสัญญาณ Bluetooth และเพลิดเพลินไปกับไลฟ์สไตล์ดิจิตอลด้วย Apple CarPlay® แบบไร้สาย และ Android AutoTM ที่เชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ที่แสดงผลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 8 นิ้ว ควบคุมด้วย Center Commander ที่จัดวางในตำแหน่งที่ผู้ขับขี่ใช้งานได้อย่างสะดวก
NEW MAZDA CX-8 มีให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ทั้งเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลขนาด 2.2 ลิตร (Skyactiv-D 2.2) พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้พละกำลังสูงถึง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 17.5 กม./ลิตร* และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งยังมีการติดตั้งระบบช่วยป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ Off-Road (Off-Road Traction Assist) เพิ่มเติมในรุ่นที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร (Skyactiv-G 2.5) ให้พละกำลังถึง 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 258 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันสูงสุด 13.2 กม./ลิตร*
และในทุกรุ่นย่อยยังมาพร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีภายใต้ SKYACTIV-Vehicle Dynamics ช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุล โดยเฉพาะในทางโค้งและในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น
NEW MAZDA CX-8 อัดแน่นไปด้วยระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันที่ล้ำสมัย i-Activsense รอบคัน ให้ความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถอเนกประสงค์ในระดับเดียวกัน ซึ่งระบบความปลอดภัย i-Activsense ที่มาพร้อม NEW MAZDA CX-8 ประกอบด้วย
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาในขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (Smart Brake Support)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (Lane-keep assist System)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Alert)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Control)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Advanced Blind Spot Monitoring)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (Lane Departure Warning System)
- ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive LED Headlamps)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Smart City Brake Support-Reverse)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced Smart City Brake Support)
- ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go (Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go)
NEW MAZDA CX-8 ยังเพิ่มความอุ่นใจให้ผู้โดยสารตลอดเส้นทางในทุกสถานการณ์การขับขี่ ด้วยระบบความปลอดภัยทั้งแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety) อาทิ ระบบแสดงภาพ 360° รอบทิศทาง พร้อมมุมกล้องในแบบ Top View ผ่านหน้าจอ Center Display ขนาด 8 นิ้ว รวมถึงระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุดและด้านหลัง 4 จุด ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น และแบบปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย รวม 6 ตำแหน่ง
NEW MAZDA CX-8 มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครบครัน โดยมีราคาจำหน่ายดังต่อไปนี้