เปิดตัวสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง 180 กิโลวัตต์ในประเทศไทย

ปอร์เช่ เอเชีย แปซิฟิก (Porsche Asia Pacific) และ เชลล์ (Shell) ประกาศเปิดตัว Shell High Performance Charging (HPC) สถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูงแห่งแรก ณ สถานีบริการน้ำมันรูปแบบใหม่ ‘Site of the Future’ ต้นแบบสถานีบริการน้ำมันมาตรฐานระดับโลกแห่งแรกในไทยย่านนนทบุรี สำหรับการมาถึงของสถานี HPC เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นโครงการ ก่อสร้างสถานีชาร์จพลังงาน 180 กิโลวัตต์ และ 360 กิโลวัตต์ direct-current (DC) ของ Shell รวมทั้งสิ้นอีก 11 แห่งทั่วประเทศไทย ถือเป็นการขับเคลื่อนการเดินทางสำหรับอนาคตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เกิดเส้นทางสัญจรที่ปราศจากมลภาวะมุ่งสู่การเดินทางที่ยั่งยืน

เมื่อโครงสร้างเครือข่ายเริ่มดำเนินการในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 สถานี HPC ในประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อเพื่อขยายเครือข่ายสถานี HPC ของ Shell ตลอดทั่วทั้งภูมิภาค โดยจะดำเนินงานร่วมกับสถานีอีก 6 แห่งในประเทศมาเลเซีย และ 3 แห่งในสิงคโปร์ เป้าหมายเพื่อความยั่งยืนที่ตรงกัน พร้อมเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเดินทางด้วยระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า จุดเริ่มต้นของการกำเนิดเส้นทางปราศจากมลภาวะ ระยะทางมากกว่า 2,200 กิโลเมตร ระหว่างเขตแดน 3 ประเทศในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 800,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นผสานความร่วมมือพันมิตรกันระหว่าง 2 บริษัทระดับโลกอย่างปอร์เช่ เอเชียแปซิฟิก (Porsche Asia Pacific) และ เชลล์ (Shell)  มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการเดินทางสำหรับอนาคตให้เป็นเส้นทางปลอดมลภาวะที่มีระยะทางไกลที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถเดินทางสัญจรได้โดยไร้ข้อจำกัด

Dr. Henrik Dreier (ดร. เฮนริค ไดรเยอร์) ผู้อำนวยการ New Business Fields ของ Porsche Asia Pacific กล่าวว่า “ปอร์เช่ เรายังคงรักษาคำสัญญาในด้านการขับเคลื่อนอนาคตของการคมนาคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉกเช่นเดียวกับการยืนยันเจตนารมณ์อย่างต่อเนื่องเรื่องการลดสารประกอบคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 ตามความมุ่งมั่นของเรา และความไว้วางใจที่เรามีต่อ Shell ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจนั้น กำลังนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ ด้วยการเปิดตัวสถานีชาร์จสำหรับรถพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง Shell High Performance Charging ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมาพร้อมสิทธิพิเศษมากมายสำหรับเจ้าของรถยนต์ปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) รวมทั้งเครือข่ายการบริการที่มีระยะทางมากกว่า 2,200 กิโลเมตร เราคาดหวังถึงผลประโยชน์สูงสุดที่ผู้ใช้เส้นทางจะได้รับจากการสัญจรทางไกล ตลอดจนการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นอีกแรงสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ใช้รถยนต์หันมาเลือกใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น”

Amr Adel(อาเมอร์ อเดล)รองประธานกรรมการอาวุโสของ Shell Mobility Asia อธิบายต่อว่า  “ผู้ใช้รถ EV ต่างคาดหวังถึงประสบการณ์ด้านการชาร์จพลังงานที่รวดเร็ว และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงวิธีในการลดมลภาวะที่เกิดจากการขับขี่ยานพาหนะของพวกเขา เมื่อพรมแดนของประเทศต่าง ๆ ในโลกเปิดกว้าง ผู้ใช้รถยนต์จึงเฝ้าค้นหาสถานีชาร์จพลังงานที่สามารถเชื่อถือได้ โดยเฉพาะการเดินทางสัญจรระยะยาวข้ามประเทศ ด้วยเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง HPC สถานีแห่งแรกของเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ Shell (เชลล์) คือผู้ให้บริการเครือข่ายการบริการสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้ารูปแบบระหว่างประเทศที่แรกในภูมิภาค นี่คือบริการของ Shell Recharge EV network การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้ เป็นการประกาศผนึกกำลังและความสำเร็จระหว่างปอร์เช่ และเชลล์ เพื่อขยายการพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้าสมรรถนะสูง ระหว่างสิงคโปร์ มาเลเซียและเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อตอบรับความต้องการและความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่รถพลังงานไฟฟ้า ทางเชลล์มีความตั้งใจเป็นอย่างสูงในการรับบทบาทสำคัญสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อพลังงานขับเคลื่อนแบบไร้คาร์บอน โดยการร่วมมือกับเหล่าพันธมิตรและกลุ่มลูกค้า”

ด้วยความร่วมมือดังกล่าว สถานีบริการ Shell จำนวน 11 แห่งในประเทศไทย จะได้รับการติดตั้งจุดชาร์จพลังงานไฟฟ้า DC chargers ขนาด 180 กิโลวัตต์ และ 360 กิโลวัตต์ สำหรับรองรับระบบการชาร์จประสิทธิภาพสูงในประเทศไทย ให้ผู้ขับขี่สามารถเดินทางที่ไร้ซึ่งมลพิษจากจังหวัดสงขลาในเขตภาคใต้ จนถึงจังหวัดเชียงใหม่ในเขตภาคเหนือ เมื่อใช้งานระบบชาร์จขนาด 180 กิโลวัตต์ ปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) สามารถชาร์จพลังงานจาก 0% State of Charge (SoC) ถึงระดับ 80% ภายในเวลาประมาณ 30 นาที เดินทางได้สูงสุดถึง 390 กิโลเมตร (ทดสอบตามมาตรฐาน WLTP) ในส่วนของการใช้งานระบบชาร์จขนาด 270 กิโลวัตต์ อันเป็นกำลังสูงสุดที่ปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) สามารถรองรับได้นั้น จะใช้เวลาลดลงเหลือเพียง 22 นาทีเท่านั้น

นอกจากการส่งเสริมให้เกิดพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากเส้นทางการจราจรที่มีระยะทางไกลกว่า 2,200 กิโลเมตรให้เป็นเส้นทางที่ปราศจากมลภาวะ โดยเริ่มตั้งแต่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย จนมาถึงประเทศไทย ยังเสริมความร่วมมือทางธุรกิจด้านการดูแลลูกค้าส่งมอบสิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับเจ้าของรถยนต์ปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) อีกด้วย โดยเจ้าของรถยนต์ปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) ที่เป็นลูกค้ารายใหม่ในประเทศไทย จะได้รับสิทธิพิเศษสำหรับสถานะสมาชิกระดับ Platinum โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอด 3 ปี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวลูกค้าสามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดอัตราค่าบริการ Pay-Per-Use (PPU) 50% หรือการสำรองจุดชาร์จล่วงหน้าได้ระยะเวลาสูงสุด 1 ชั่วโมงก่อนเดินทางมายังสถานี Shell HPC ทุกแห่งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และรับคะแนนสะสม Shell GO+ จำนวน 10,000 คะแนน สำหรับแลกรับส่วนลดผลิตภัณฑ์ ตลอดจนบริการต่าง ๆ ของ Shell

ผู้ใช้งานแอพพลิเคชัน Sharge และ ParkEasy ในประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย จะได้รับประสบการณ์และความสะดวกสบาย ผ่านเทคโนโลยีของแอพพลิเคชันทั้ง 2 ที่ช่วยสนับสนุนการเข้าถึงเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง Shell HPC และสถานีชาร์จ Porsche Destination Charging ในทั้ง 2 ประเทศได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศไทย สามารถเข้ารับบริการในเครือข่ายสถานี Shell HPC ด้วยอัตราค่าใช้จ่าย Pay-Per-Use (PPU) หรือเลือกสมัครสมาชิกเพื่อรับสิทธิพิเศษได้

เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผู้คนมองหารถที่ใช้พลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้นจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านนโยบายจากทางภาครัฐและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ให้กับผู้ผลิตและผู้บริโภค ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและมีการผันผวนแบบรายวัน เทรนด์ของการใส่ใจในสภาวะโลกร้อนและความนิยมต่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ที่มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัย ตลอดจนดีไซน์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน แม้ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในประเทศไทยกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังเป็นสิ่งใหม่สำหรับคนไทย หลายคนเกิดข้อกังวลในการขับขี่และมีข้อสงสัยว่าหากขับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วเจอปัญหา จะมีวิธีแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร วันนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก มีแนวทางง่ายๆ ในการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นขณะขับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งานในทุกครั้งที่กดสตาร์ทรถอีวีคู่ใจ

แบตเตอรี่คงเหลือมีไม่มาก ต้องเร่งค้นหาสถานีชาร์จเป็นการด่วน ต้องทำอย่างไร

ระหว่างเดินทางถ้าเพิ่งสังเกตว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่ไม่มาก และรถอาจจะดับในอีกไม่นาน ก็สามารถค้นหาจุดชาร์จใกล้ตัวได้อย่างง่ายดายกว่าในอดีต เพราะปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็ช่วยกันผลักดันระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมหลายพื้นที่ ผู้ใช้งานจึงสามารถใช้ Google Maps ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น EV charging, EV charging stations หรือ EV Charger หรือจะดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ช่วยค้นหาสถานีชาร์จ ซึ่งบางแอปฯ สามารถเช็กความพร้อมในการให้บริการของแต่ละสถานี เช็กสถานะขณะชาร์จได้แบบเรียลไทม์ และเลือกจองคิวการชาร์จล่วงหน้าได้อีกด้วย อาทิ EVolt, EA Anywhere, PlugShare, MEA EV, EV Station PluZ, PEA VOLTA, GO TO-U รวมถึง G-Charge ที่สร้างความอุ่นใจให้ผู้ขับขี่ด้วยการรวบรวมพิกัดสถานีชาร์จทั่วประเทศไทยให้มาอยู่ในแอปเดียว โดยในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ GWM App จะครอบคลุมเครือข่ายสถานีชาร์จกว่า 65% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 85% ภายในปีนี้ สำหรับสถานีชาร์จทั้งหมดของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ DC Fast Charge กำลังสูง เริ่มต้นที่ 120 kW ให้บริการรถทุกยี่ห้อ เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และสะดวกสบายด้วยการใช้งานผ่าน GWM Application ซึ่งผู้ใช้งานสามารถค้นหาสถานีชาร์จ จองเวลาในการชาร์จ และชำระค่าใช้จ่ายในการชาร์จได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันปัญหาแบตเตอรี่หมดกลางทางก็คือการวางแผนเส้นทางและการชาร์จล่วงหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสี่ยงลุ้นจนใจหายระหว่างการเดินทาง

ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดขัดข้องกลางถนน ทำเอารถติดยาวเป็นหางว่าว ต้องทำอย่างไร

สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นรถดับหรือรถเสียกลางถนนคือ การเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เพื่อแจ้งให้บรรดาผู้ขับขี่ที่ตามมาเข้าใจว่ารถของคุณกำลังประสบปัญหาอยู่ หลังจากนั้นแนะนำให้ดับเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 20 นาที แล้วลองสตาร์ทเครื่องใหม่ หรือทำการรีเซ็ตระบบของตัวรถ และลองสตาร์ทรถอีกครั้ง หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบโทรติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น 191 ตำรวจ, 1193 ตำรวจทางหลวง สายด่วน 1669 เจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือโทรแจ้งบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน เป็นต้น ส่วนใครที่ทำประกันรถยนต์ไว้ สามารถโทรติดต่อบริษัทที่ทำประกันภัยรถยนต์อยู่ได้เลย

ด้าน เกรท วอลล์ มอเตอร์ เองก็มีเทคโนโลยีที่ติดตั้งภายในรถ GWM ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้ง่ายในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด โดยจะมีปุ่ม SOS ให้กดโทรออกเพื่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉินในกรณีเกิดเหตุร้ายแรงที่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ ส่วนอีกปุ่มจะเป็นปุ่มบริการลูกค้าที่ขอความช่วยเหลือไปยัง Roadside Assistance หรือ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง* ซึ่งมีทีมงานมืออาชีพที่พร้อมประสานงานและสามารถไปถึงจุดเกิดเหตุได้ภายใน 30 นาทีสำหรับเหตุฉุกเฉิน และภายใน 45 นาที สำหรับบริการรถยก** นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถติดต่อเมื่อเกิดเหตุ นั่นก็คือติดต่อ GWM Contact Centre ผ่านทาง GWM Application หรือโทรโดยตรงที่เบอร์ 02-668-8888 กด 1 บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยแจ้งชื่อ-นามสกุล เบอร์ติดต่อ และหมายเลขตัวถัง (VIN no.) ซึ่งเป็นรหัสประจำตัวของรถแต่ละคันที่ไม่ซ้ำกันจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานในการสืบค้นข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น แต่ถ้าหากรถของท่านประสบอุบัติเหตุ กรุณาติดต่อบริษัทประกันเพื่อประสานงานให้ความช่วยเหลือต่อไป

ด้วยความที่รถยนต์พลังงานทางเลือกใช้พลังงานจากไฟฟ้า และมีกลไกการทำงาน รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยี ไม่เหมือนกับรถยนต์สันดาปทั่วไป หลายคนจึงกังวลว่าหากรถมีปัญหาหรือระบบต่างๆ ทำงานผิดปกติ ต้องหันหน้าไปพึ่งใครดี ซึ่งก็ขอบอกให้วางใจได้ว่าอู่รถยนต์หลายแห่งในปัจจุบันได้เตรียมความพร้อมด้วยการส่งช่างเทคนิคไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบของรถอีวี หรือหากอยากได้ความมั่นใจยิ่งขึ้น ผู้ใช้ก็สามารถรายงานความเสียหายไปยังศูนย์บริการของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ซื้อมาได้เลย อย่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ก็มี ศูนย์บริการมาตรฐาน GWM Partner Store ครอบคลุมในหลายพื้นที่ และพร้อมดูแลลูกค้าด้วยทีมงานที่เชี่ยวชาญ ผ่านการอบรมตามมาตรฐาน GWM นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังมอบคู่มือการใช้งานมาพร้อมกับตัวรถ ซึ่งเผยเทคนิคการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมอธิบายการใช้งานครบทุกฟังก์ชันในรถอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ขับขี่ทำความเข้าใจกับฟีเจอร์ต่างๆ ก่อนหรือขณะใช้งานจริง

ขับรถไฟฟ้าลุยน้ำได้หรือไม่ จะเกิดอันตรายอะไรมั้ย

ขับรถมามีเหตุที่รถต้องมาดับกลางถนนให้กับน้ำท่วม! ปัญหาที่พบเจอกันเป็นประจำช่วงหน้าฝนสำหรับรถยนต์สันดาปภายใน เนื่องจากรถยนต์สันดาปโดยทั่วไปจะมีระบบระบายอากาศหรือความร้อนที่เชื่อมต่อภายนอก ซึ่งเป็นช่องทางเสี่ยงทำให้น้ำสามารถเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ในกรณีน้ำท่วมสูง ซึ่งแตกต่างจากระบบของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับการออกแบบตัวรถให้มีระบบปิด สามารถป้องกันความเสี่ยงเมื่อเกิดน้ำท่วมได้ดีกว่า ทั้งตัวมอเตอร์ แบตเตอรี่ และระบบชาร์จไฟ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความเสี่ยงจากเหตุการณ์น้ำท่วมได้ลดลง 

ข้อควรพิจารณาก่อนขับรถลุยน้ำ คือการประเมินระดับน้ำให้สูงไม่เกิน 30 เซ็นติเมตร หรือประมาณฟุตบาทริมทาง หรือถ้าประมาณครึ่งล้อก็ยังพอลุยไหว แต่ถ้าน้ำท่วมสูงเลยขอบประตูรถเมื่อไหร่ไม่แนะนำให้ทำการขับขี่ต่อไป เพราะน้ำอาจเข้ามาในตัวรถจนทำให้ระบบต่างๆ ของตัวรถเสียหายหรือหยุดการทำงานได้ เนื่องจากทุกระบบของรถยนต์ไฟฟ้า จะใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานหลักในการทำงานและขับขี่ จึงควรระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าในตัวรถที่จะสามารถสร้างความเสียหายให้กับสายไฟและระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบแบตเตอรี่ ระบบมอเตอร์เกียร์ ระบบกล่องควบคุมเครื่องยนต์ ซึ่งถึงแม้ว่าระบบเหล่านี้จะมีการซีลกันน้ำไว้เป็นอย่างดีแล้วก็ตาม

ด้านแบตเตอรี่ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้านั้น จะมีการทดสอบ IP Rating (Ingress Protection) ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานในการป้องกันของแข็งและของเหลวเล็ดลอดเข้าภายใน เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลของไฟฟ้าแรงสูงในกรณีที่รถจมอยู่ใต้น้ำ โดยค่ามาตรฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยทั่วไปอยู่ที่ IP67 การันตีว่าสามารถป้องกันความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมไม่เกิน 1 เมตรได้ ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที สำหรับ ORA Good Cat นั้นได้รับมาตรฐาน IP67 เช่นกัน โดยแบตเตอรี่สามารถกันน้ำจากการแช่น้ำความลึกไม่เกิน 1 เมตรได้สูงสุด 30 นาที และยังสามารถกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังสามารถขับลุยน้ำได้ลึกถึง 40 เซ็นติเมตรอีกด้วย ดังนั้นผู้ขับขี่สามารถมั่นใจได้ว่าน้ำท่วมจะไม่สามารถก่อความเสียหายให้กับแบตเตอรี่ของตัวรถได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงจากการรั่วซึมของน้ำเข้าไปในส่วนประกอบของแบตเตอรี่ได้ โดยเฉพาะในน้ำเค็มซึ่งมีความสามารถกัดกร่อนตามธรรมชาติ อาจทำให้เป็นอันตรายต่อแบตเตอรี่ลิเธียม ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการนำรถไปลุยน้ำในระดับสูงในระยะเวลายาวนานน่าจะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด

สำหรับการดูแลรถภายหลังจากลุยน้ำท่วมมา ควรแตะเบรกซ้ำๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรกซัก 5-10 นาทีหรือในกรณีที่น้ำเข้าในตัวรถ ให้นำรถไปตากแดด เปิดกระโปรงรถ และเปิดประตูไว้เพื่อไล่ความชื้นออกจากรถให้เร็วขึ้น หากไม่มั่นใจ แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คทุกระบบดูอีกครั้งเพื่อความอุ่นใจในการขับขี่

ชาร์จรถไฟฟ้าที่สถานีชาร์จแล้วไฟไม่เข้า หรือดึงสายชาร์จไม่ออก ต้องทำอย่างไร

ในช่วงแรกๆ ของผู้ที่หันมาใช้งานรถไฟฟ้าจะมีความสับสนอยู่พอสมควรกับวิธีการชาร์จไฟ และตำแหน่งของพอร์ตชาร์จ ซึ่งผู้ขับขี่จะเริ่มคุ้นชินไปเองหลังจากใช้งานรถไปสักพัก แต่หากอยู่ดีๆ แล้วกลับชาร์จไฟไม่เข้านั้นอาจเป็นเพราะการเสียบหัวชาร์จที่ไม่สนิท ซึ่งแก้ไขง่ายๆ เพียงปลดล็อครถแล้วเสียบหัวชาร์จกลับเข้าไปใหม่ให้แน่นและสนิท จากนั้นกดล็อครถ ต่อด้วยกด Recharge ในแอปพลิเคชันถือเป็นการจบขั้นตอน

ส่วนการถอดสายชาร์จออกจากพอร์ตชาร์จนั้น ในรถหลายรุ่นจำเป็นต้องปลดล็อคประตูรถก่อน ขณะที่บางรุ่นต้องกดปลคล็อคพอร์ตชาร์จด้วย เช่น ORA Good Cat จะไม่มีปุ่มกดปลคล็อคพอร์ตชาร์จ เราต้องปลดล็อครถยนต์ก่อนจากนั้นค่อยดึงออก ส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถถอดหัวชาร์จออกจากตัวรถได้ อาจเกิดจากกระบวนการสื่อสารระหว่างตัวรถกับเครื่องชาร์จไม่ถูกต้องตามมาตรฐานของตัวรถ เช่น หยุดชาร์จเองก่อนหมดเวลา ดังนั้นแนะนำให้ล็อค – ปลดล็อค 3 รอบ เป็นการตัดระบบไฟฟ้าของรถ ก็จะสามารถถอดหัวชาร์จออกได้ แต่ถ้าหากยังไม่สามารถถอดได้ ให้ทำการตัดไฟฝั่งเครื่องชาร์จโดยการกดปุ่ม Emergency หรือ Off Breaker main ก็จะสามารถถอดหัวชาร์จออกได้ ทั้งนี้หากทำตามขั้นต้นแล้วยังไม่สามารถถอดหัวชาร์จออกจากตัวรถได้ ให้โทรติดต่อ Call Center ของผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อดำเนินการแก้ไขในทางเทคนิคต่อไป

ข้อควรรู้ระหว่างการชาร์จ หากผู้ขับขี่ต้องการหยุดชาร์จ สำหรับการชาร์จที่ตู้สาธารณะนั้นจำเป็นต้องสั่งการหยุดชาร์จที่ตัวแอปพลิเคชันก่อนเพื่อให้ระบบของรถและตู้ชาร์จเชื่อมต่อเข้าขั้นตอนการสั่งหยุดจ่ายไฟ ขณะที่การชาร์จที่บ้านนั้นสามารถหยุดชาร์จได้ทันที

รถไฟฟ้าต้องดูแลรักษาอะไรบ้าง ต้องเช็กระยะเหมือนรถยนต์ทั่วไปหรือไม่

แม้รถยนต์ไฟฟ้าอาจจะไม่ต้องการการดูแลที่ยิบย่อยเท่ากับรถยนต์เครื่องสันดาป และมีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่น้อยกว่ารถยนต์แบบทั่วไปหลายเท่า การเช็กระยะถือเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานทุกท่านยังต้องให้ความสำคัญ การเช็กระยะให้ตรงตามรอบจะช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้นานขึ้นและเพื่อการขับขี่ที่ไร้กังวล ซึ่งศูนย์บริการจะทำตรวจสอบการใช้งานและความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้กับมอเตอร์ แบตเตอรี่ ระบบชาร์จไฟ ระบบระบายความร้อน หม้อน้ำ เกียร์ ระบบส่องสว่าง และยางรถยนต์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่รถยนต์ไฟฟ้ามีกำหนดเข้ารับบริการเช็กระยะกับศูนย์บริการทุกๆ 12 เดือน หรือ 15,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) อย่างไรก็ตาม สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ORA Good Cat ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีแพ็คเกจบำรุงรักษาตามระยะทางฟรี 5 ปี หรือ 75,000 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมทั้งค่าแรงและอะไหล่สิ้นเปลือง (สำหรับลูกค้า Premiere Deal จะไม่ครอบคลุมแบตเตอรี่ 12 โวลต์ ใบปัดน้ำฝน ผ้าเบรก) โดยลูกค้าสามารถใช้รถได้อย่างอุ่นใจและไร้กังวลในทุกการขับขี่

นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังมีบริการ Mobile Service* บริการเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษานอกสถานที่ ด้วยรถยนต์เคลื่อนที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบครันและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้า รวมถึง Pick Up And Delivery On Demand บริการรับรถเพื่อเข้าบำรุงรักษาตามระยะทางที่ศูนย์บริการมาตรฐาน GWM และส่งมอบรถยนต์คืน ณ สถานที่นัดหมาย หลังบริการเสร็จสิ้น เพียงแค่ทำการนัดหมาย 2 วันล่วงหน้าได้ที่แอปพลิเคชัน GWM หรือ Partner Store ที่ครอบคลุมในหลายพื้นที่ หรือผ่านช่องทาง GWM Contact Centre โทร 02-668-8888

*บริการหลังการขายตลอด 5 ปี เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด
**ระยะเวลาสำหรับเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

นิสสันยกขบวนรถยอดนิยมบุกงาน BIG Motor Sale 2022

นิสสัน ประเทศไทย สร้างความตื่นเต้นครั้งใหม่ โดยการนำรถยนต์ยอดนิยมมาจัดแสดงในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์เซลส์ ประจำปี 2565 (Bangkok International Grand Motor Sale 2022) นำโดย นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์, นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์, นิสสัน นาวารา และนิสสัน เทอร์ร่า พร้อมเปิดตัวโปรโมชั่นสุดพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถในฝันได้ง่ายกว่าเดิม

พร้อมกันนี้ นิสสันยังได้ประกาศ “คำมั่นสัญญา” นโยบายด้านการบริการหลังการขายที่จะยกระดับประสบการณ์ประทับใจให้ลูกค้าเมื่อเข้ามาใช้บริการ (Nissan Customer Promise) ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์นิสสัน โดยเฉพาะในเรื่องการบริการที่มีคุณภาพวางใจได้  โดยจะมุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใน ความเชื่อมั่น ความสะดวกสบาย และความอุ่นใจในบริการ

“นิสสันให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้าของเรา และสัญญาว่าจะสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหวังของลูกค้า ในงาน BIG Motor Sale ครั้งนี้ เรายังคงรักษาคำมั่นสัญญา โดยนำรถยนต์ยอดนิยมหลายรุ่นที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้า มาโชว์ในงาน รวมทั้งจัดโปรโมชั่นที่จะช่วยให้ทุกท่านได้เป็นเจ้าของรถยนต์นิสสันได้ง่ายขึ้น และมีความสุขกับทุกการขับขี่ได้อย่างเต็มที่” อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย กล่าว ไฮไลท์ของนิสสันภายในงาน ได้แก่ “นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์” ซึ่งจะเผยโฉมครั้งแรกในงาน เป็นรถยนต์รุ่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 คัน เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปี ของนิสสัน อัลเมร่า ในประเทศไทย อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ ยังคงเอกลักษณ์ในการเป็นรถยนต์คันเก่งสำหรับขับขี่ในเมืองที่นั่งสบาย ให้ความสะดวกเต็มที่ และเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งพิเศษที่สะท้อนสมรรถนะและความปราดเปรียวสไตล์สปอร์ต

อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย

นิสสัน อัลเมเร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ ภายนอกมาในรูปลักษ์ที่สะดุดตาด้วยกระจังหน้าใหม่สีดำเงา ล้ออัลลอย 16 นิ้ว สไตล์สปอร์ต ปลายท่อไอเสียแบบโครเมียม พร้อมโลโก้ Sportech-X ด้านท้ายรถ ภายในตกแต่งด้วยสีดำเดินด้ายสีเบอร์กันดี แป้นวางเท้าทรงสปอร์ต และ Ambient Light ใหม่เพิ่มความเอ็กซ์คลูซีฟ เบาะนั่ง Quole Modure ที่ไม่สะสมความร้อน นั่งสบายตลอดทุกการขับขี่

นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ พร้อมจะสร้างประสบการณ์ประทับใจด้วยสมรรถนะที่โดดเด่น ประหยัดน้ำมัน การปกป้องที่เหนือระดับ และการเชื่อมต่อที่ราบรื่น  เครื่องยนต์ HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ที่มีกำลังสูงสุด 100 แรงม้า (Ps) แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร (Nm) ให้อัตราเร่งที่แรง และรวดเร็ว จากแรงบิดแบบต่อเนื่อง (flat torque)   นอกจากนี้ยังประหยัดน้ำมัน และขับขี่ได้สนุกทุกเส้นทาง พร้อมทั้งมั่นใจเต็มพิกัดด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน (360-degree Safety Shield)  ส่วนระบบอินโฟเทนเมนท์ NissanConnect สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Android Auto* และ Apple CarPlay เพื่อใช้งานแอปพลิเคชันในมือถือผ่านจอเครื่องเสียงรถยนต์ระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และระบบเชื่อมต่อ Bluetooth, USB และ AUX-IN พร้อมระบบนำทาง (Navigation System) ผ่าน Google Map และระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition) ให้ความสะดวกสบายและความสุนทรีย์ตลอดเส้นทาง

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงาน ได้แก่ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็น B-SUV ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ อี-พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น 2 ที่ให้พลัง และประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น และมั่นใจเต็มที่กับเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ปกป้องทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร แบบครบครัน  นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ยังมีรุ่นพิเศษ AUTECH  ที่เพิ่มความพรีเมี่ยม และสปอร์ตมากยิ่งขึ้น กับการตกแต่งที่สะดุดตา โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวมากขึ้น  ทำให้นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนับตั้งแต่เปิดตัว

นิสสัน นาวารา รุ่นปี 2022 และ นิสสัน นาวารา แบล็ค อิดิชั่น ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน มาร่วมสร้างสีสันให้กับงานเช่นกัน ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ ที่แกร่ง บึกบึน ทันสมัย สไตล์สปอร์ต โดยเฉพาะการตกแต่งสีดำในรุ่น แบล็ค อิดิชั่น รวมทั้งยังเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น ช่วยให้ผู้ขับขี่สนุกกับการใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีใครกล้าคิด โดยมาพร้อมสมรรถนะและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก อาทิ เบาะที่นั่งปรับระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง และเบาะนั่งพรีเมียม Quole Modure ที่ไม่สะสมความร้อน ในรุ่น PRO-4X และ PRO-2X  นิสสัน นาวารารุ่นล่าสุด ยังคงรักษาจุดเด่นด้านสมรรถนะ ด้วยเครื่องยนต์YS23DDTT DOHC ทวินเทอร์โบ ความจุ 2.3 ลิตร 4 สูบ เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด กำลังสูงสุด 190 แรงม้า PS แรงบิด 450 นิวตันเมตร พร้อมระบบแมนนวลโหมด (M mode) ที่เพิ่มความสนุกสนานกับการขับขี่ และประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ขณะที่รุ่น แบล็ค อิดิชั่น ใหม่ เสริมความเข้ม เติมเต็มความแกร่ง เร้าใจยิ่งกว่าเดิมด้วยชุดแต่งสีดำ ให้อารมณ์สปอร์ตทั้งภายนอก และภายใน มาพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีอัจฉริยะด้านความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ยกระดับประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ ให้ผู้เป็นเจ้าของภาคภูมิใจและมั่นใจในทุกการเดินทาง

และสำหรับผู้ที่มองหารถเอสยูวี  นิสสัน เทอร์ร่า มาในโฉมสุดพรีเมียม พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน  (360-degree Safety Shield) ระบบความบันเทิงเหนือระดับสำหรับทุกคนในครอบครัว ที่นั่งดีไซน์พิเศษที่ปรับได้ตามความต้องการ นิสสัน เทอร์ร่า ใช้เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบให้พลัง 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ทำให้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเอสยูวีที่โดดเด่นที่สุด พร้อมจะพาผู้โดยสารไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างไร้ขีดจำกัด  ภายในห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบายสำหรับทุกคนในทุกเส้นทาง

เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพสูงจากนิสสันได้ง่ายขึ้น นิสสันได้จัดโปรโมชั่นหลากหลายแพ็คเกจสำหรับรถแต่ละรุ่น เพื่อให้ตรงใจ และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนน้อย ฟรีค่าแรงเช็คระยะ หรือฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีเต็ม และอีกมากมาย ปลายทางได้อย่างไร้ขีดจำกัด  ภายในห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบายสำหรับทุกคนในทุกเส้นทาง

นอกจากรถยนต์และโปรโมชั่นที่น่าสนใจแล้ว นิสสันยังให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย โดยได้ประกาศ “คำมั่นสัญญา” ใหม่ที่เพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริการของนิสสัน โดยการเพิ่ม “ความโปร่งใส” ด้วยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลา และประมาณการค่าใช้จ่ายก่อนทุกครั้งที่ลูกค้านำรถเข้ามารับบริการ “ความมั่นใจ” ด้วยการรับประกันคุณภาพหลังการเปลี่ยนอะไหล่ และซ่อมแซมนานถึง 1 ปี  “ความสะดวก” ด้วยการให้รถยนต์สำรองใช้ฟรีกรณีงานซ่อมที่เกิดจากปัญหาคุณภาพและใช้เวลามากกว่า 24 ชั่วโมง หรือกรณีที่ไม่มีอะไหล่ในคลังและต้องรอเป็นระยะเวลาหนึ่ง  และการสร้าง “ความอุ่นใจ” ด้วยบริการคอลเซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง

“รถยนต์ทุกรุ่นของนิสสัน สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ส่วนโปรโมชั่นต่างๆ ก็ออกแบบมาจากความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เราพัฒนาการบริการหลังการขายตลอดเวลา จึงเชื่อว่าสามารถสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้ตามที่เราให้คำมั่นสัญญาไว้” อิซาโอะ เซคิกุจิ กล่าวสรุป

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อนิสสัน และดีลเลอร์ทั่วประเทศได้ตั้งแต่วันนี้หรือดูข้อมูลจากเว็บไซค์ https://www.nissan.co.th/
*เฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ

“นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์”

นิสสันฉลอง 10 ปี นิสสัน อัลเมร่า ซีดานรุ่นยอดนิยมด้วยการสร้างสีสันใหม่ เปิดตัว “นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์” ที่ยังคงรักษาดีเอ็นเอของเทคโนโลยีขั้นสูง  ความสะดวกสบาย  พร้อมยกระดับความสปอร์ตไปอีกขั้นกับการตกแต่งใหม่ที่สะท้อนจิตวิญญาณความสปอร์ตที่มาพร้อมสมรรถนะ

อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย

อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นิสสัน อัลเมร่าเป็นหนึ่งในรถยนต์ซีดานที่ได้รับความนิยมสูงสุดรุ่นหนึ่ง  โดยมียอดจำหน่ายไปแล้วกว่า 240,000 คัน  เพราะเป็นรถยนต์ซีดานสำหรับคนเมือง ที่สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้ทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ด้วยขนาดรถยนต์แบบคอมแพ็คที่คล่องตัวสำหรับใช้งานในเมือง มาพร้อมพื้นที่ในห้องโดยสารที่กว้างขวาง  นั่งสบาย ขับง่ายสะดวก และสำหรับรถยนต์นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ รุ่นพิเศษนี้ นิสสันพร้อมจะมอบประสบการณ์ใหม่ ด้วยการยกระดับความพรีเมียม และความสปอร์ตไปอีกขั้นหนึ่ง”

นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ ถูกดีไซน์ให้มีรูปโฉมสะดุดตา โฉบเฉี่ยวมากขึ้นกับกระจังหน้าใหม่สีดำเงา ไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน หรือ Day Time Running Light (DTRL)ล้ออัลลอย 16 นิ้วดีไซน์สปอร์ต  ปลายท่อไอเสียแบบโครมเพิ่มความสปอร์ต สติ๊กเกอร์โลโก้ Sportech-Xสุดเท่ที่ข้างประตู และบริเวณท้ายรถ โฉบเฉี่ยวด้วยสีแบบทูโทน คือ ตัวถังภายนอกสีขาวสตอร์มไวท์ ตัดกับสีดำเงาที่ หลังคา เสา A/B/Cกระจกมองข้างและสปอยเลอร์หลัง

ดีไซน์ภายใน ยังคงมีความสปอร์ตและพรีเมี่ยมสอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอก  ด้วยเบาะนั่งพรีเมียมสีดำเดินด้ายสีเบอร์กันดี “Quole Modure”ที่ไม่สะสมความร้อน ให้ความรู้สึกที่นั่งสบายตลอดการเดินทาง และมาพร้อม โลโก้ Sportech-Xในจุดต่างๆ ภายในห้องโดยสาร เช่น เบาะหน้า ฐานคันเกียร์ พรมปูพื้น และแป้นเหยียบแบบสปอร์ต ยกระดับความเท่ สปอร์ตไปอีกขั้น นอกจากนี้ นิสสันยังได้เพิ่มไฟ Ambient Lightเป็นอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษที่เติมเต็มอารมณ์สปอร์ตพรีเมียม

ด้านความสะดวกสบายและสุนทรีย์ทุกเส้นทางถูกเติมเต็มด้วยระบบอินโฟเทนเมนต์ NissanConnectที่สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Android Auto*และ Apple CarPlayเพื่อใช้งานแอปพลิเคชันในมือถือผ่านจอเครื่องเสียงรถยนต์ระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว (สำหรับรุ่น V ขึ้นไป) และระบบเชื่อมต่อ Bluetooth, USBและ AUX-INพร้อมระบบนำทาง (Navigation System)ผ่าน Google Mapและระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition)

ขณะที่ขุมพลังของ รุ่น สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ ยังมาพร้อมสมรรถนะที่โดดเด่นแต่ยังให้การประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ให้การขับขี่ที่สนุก จากเครื่องยนต์ HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ที่มีกำลังสูงสุด 100 แรงม้า (Ps) แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร (Nm)ให้อัตราเร่งที่แรง และรวดเร็ว จากแรงบิดแบบต่อเนื่อง (flat torque)พร้อมระบบส่งกำลังแบบ XTRONIC CVTที่เสริมอารมณ์ของการขับขี่ด้วย D-Step Logicที่ให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่องทันใจ ตอบสนองการเร่งแซงที่ดีขึ้น ช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ ให้ความมั่นใจเต็มพิกัดด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน (360-degree Safety Shield)ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW)ระบบช่วยเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB)ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW)ระบบเตือนขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA)ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM)และระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection – MOD)รวมทั้งความปลอดภัยมาตรฐาน  อาทิ ถุงลมนิรภัย 6 ใบ ที่ด้านหน้า ด้านข้าง และม่านนิรภัย

นอกจากนี้ อัลเมร่าทุกคันยังให้ความอุ่นใจกับการรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงฟรี 3 ปี นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค-เอ็กซ์ มีจำนวนจำกัดเพียง 300 คัน โดยมีราคาจำหน่ายที่ 695,000 บาท  และเพื่อช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของซีดานยอดนิยมรุ่นพิเศษได้ง่ายขึ้น นิสสันมอบข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ยต่ำ 1.59% นาน 48 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection และ ฟรีค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี หรือ 70,000 กิโลเมตร**

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่โชว์รูมนิสสันทั่วประเทศหรือเว็บไซต์ https://en.nissan.co.th.

* เฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับการใช้งาน** เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

B Autohaus เติบโตก้าวกระโดด บุกตลาดรถยนต์นำเข้าเต็มกำลังยกทัพรถยนต์พรีเมี่ยมจากทั่วโลกจัดโรดโชว์ทั่วไทย

บริษัท บี ออโต้ ฮาวส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายยนตรกรรมชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก พร้อมด้วยศูนย์บริการลูกค้าครบวงจรภายใต้แนวคิด The 360 Degrees of Auto Services หรือการให้บริการด้านรถยนต์แบบครบวงจร 360 องศา เตรียมบุกทั่วประเทศกับงาน B Autohaus: The World of Automotive ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับยนตรกรรมระดับพรีเมี่ยมจากทั่วทุกมุมโลกด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดแบบใกล้ที่ไหนรอพบกันได้ที่นั่น โดยได้จัดงานแรกแบบจัดเต็มกันไปแล้วพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ Skinz by Ngenco ฟิล์มเปลี่ยนสีป้องกันรอยชนิดพ่น ณ ห้างสรรพสินค้า Central World ต้นเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา

คุณสุธิสา คงสิริกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี ออโต้ ฮาวส์ จำกัด

คุณสุธิสา คงสิริกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี ออโต้ ฮาวส์ จำกัด ได้วาง Roadmap ในการจัดงานภายใต้แคมเปญ B Autohaus: The World of Automotive ตลอดปี เพื่อเป็นการเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วประเทศ อาทิ จังหวัดชลบุรี, จันทบุรี และขอนแก่น มอบความสะดวกสบายในการชมรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมแบบใกล้บ้านท่าน โดยจะมีการนำรถยนต์หรูจากหลากหลายแบรนด์ดังระดับโลก อาทิ Bentley Bentayga, Toyota Land Cruiser, Mercedes Benz G400 และ G63, Toyota Alphard, Tesla, Porsche รุ่นต่างๆ อาทิ Carrera, Cayman, Taycan, The New Macan รวมไปถึงชุดแต่ง TECHART และ ชุดแต่ง ROWEN ที่ทาง B Autohaus เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว รวมไปถึงรถที่ได้ทำการติดตั้งฟิล์มเปลี่ยนสีป้องกันรอยชนิดพ่น SKINZ by Ngenco ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดจากทาง B Autohaus ร่วมจัดแสดงในทุกงานอีกด้วย โดยทุกท่านสามารถพบกับกองทัพรถยนต์พรีเมี่ยมได้ตลอดทั้งปี


B Autohaus: The World of Automotive Showcase 2022

2-10 พฤษภาคม 2565เซ็นทรัลเวิล์ด
25-31 พฤษภาคม 2565เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์
26-29 พฤษภาคม 2565เซ็นทรัลจันทบุรี
6-12 มิถุนายน 2565เซ็นทรัลชลบุรี
13-19 มิถุนายน 2565เซ็นทรัลเวิล์ด
19-28 สิงหาคม 2565BIG Motor Sale 2022
1-7 กันยายน 2565เซ็นทรัลพระราม 3
8-14 กันยายน 2565เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์
19-25 กันยายน 2565เซ็นทรัลขอนแก่น
20-28 ตุลาคม 2565เซ็นทรัลบางนา
1-7 พฤศจิกายน 2565เอ็มควอเทียร์

และพบกับ B Autohaus The World of Automotive ที่จังหวัดต่างๆ เพิ่มเติมได้ เร็วๆ นี้

ในปี 2564 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ทำการขยายสาขาเพิ่มไปยังโลเคชั่นใจกลางเมือง สาขาลุมพินี ณ อาคารศรีเฟื่องฟุ้ง ริมถนนพระราม 4 เดินทางสะดวก โดยลูกค้าสามารถเช้าชมรถในส่วนของโชว์รูมและนำรถเข้ารับเซอร์วิสได้ที่จุด Express Service ที่สาขาลุมพินีผ่านการนัดหมายล่วงหน้าอีกด้วย B Autohaus ผู้จัดจำหน่ายยนตรกรรมชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก พร้อมด้วยศูนย์บริการลูกค้าครบวงจรภายใต้แนวคิด The 360 Degrees of Auto Services หรือการให้บริการด้านรถยนต์แบบครบวงจร 360 องศา ประกอบไปด้วย โชว์รูม ศูนย์บริการ ศูนย์ซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ สปารถยนต์และผู้ถือลิกขสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียวของชุดแต่ง TECHART Thailand และ ROWEN Thailand พร้อมด้วยทีมงานคุณภาพมากประสบการณ์ ชำนาญการด้านรถยนต์ที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของลูกค้า

สามารถเข้าเยี่ยมชมโชว์รูม B Autohaus ได้ที่สาขาวิภาวดี โทร. 02-938-5555 และสาขาลุมพินี โทร. 083-954-2555

ใช้ชีวิตสุดชิค คลิกไปกับ “รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง SIENTA รุ่นปรับปรุงใหม่

โตโยต้า แนะนำ SIENTA รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง รุ่นปรับปรุงใหม่ “Chic Clicks” สะดวกสบายยิ่งกว่าด้วยประตูข้างสไลด์อัตโนมัติ ระยะจากพื้นรถถึงพื้นถนนต่ำ ทำให้ก้าวขึ้น-ลงสะดวก ปลอดภัย ควบคุมง่ายเพียงคลิกเดียว ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เหนือใคร พร้อมความบันเทิงเต็มอรรถรส ด้วยจอ LED ขนาด 8 นิ้ว บริเวณที่นั่งแถวที่ 2-3 มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน และฟังก์ชันล้ำสมัยใหม่ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2565

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ทำการเปิดตัวยนตรกรรมอเนกประสงค์สไตล์ Premium Crossover “ALL NEW TOYOTA VELOZ” สู่ตลาดประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และโตโยต้าขอขอบคุณลูกค้าที่ได้ให้การต้อนรับALL NEW TOYOTA VELOZ” เป็นอย่างดีครั้งนี้ โตโยต้า ยังคงกระตุ้นตลาดรถยนต์อย่างต่อเนื่อง เสริมทัพตลาดรถ MPV ในไตรมาสแรกของปี ด้วยการแนะนำรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 5 ประตู 7 ที่นั่ง ประเภท Compact Multi-Purpose Vehicle สำหรับครอบครัวอีกหนึ่งรุ่น นั่นคือ SIENTA รุ่นปรับปรุงใหม่”  ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน

โตโยต้า “SIENTA รุ่นปรับปรุงใหม่” มอบสมรรถนะการขับขี่ที่คล่องแคล่ว ตอบโจทย์ความต้องการสเปกที่มีความเฉพาะตัว สะดวกสบายกว่าใครด้วย ประตูข้างสไลด์อัตโนมัติ เหมาะกับการใช้งานในเมือง ขึ้น – ลงสะดวกด้วยความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 170 มิลลิเมตร และ มอบความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง ด้วยจอ LED ขนาด 8 นิ้ว บริเวณที่นั่งแถวที่ 2-3  ตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ ด้วยเบาะหนังและวัสดุกึ่งสังเคราะห์ (สีดำ-เทา)* ดีไซน์สปอร์ต ทันสมัย กว้างขวางตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ปรับเปลี่ยนตำแหน่งเบาะนั่งด้านหลังได้หลายรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและฟังก์ชันความปลอดภัยขั้นสูงสุด เช่น เครื่องเล่นวิทยุหน้าจอสัมผัส ที่สามารถรองรับการใช้งาน Apple CarPlay และ Android Auto, กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา* แบบ HD ให้ภาพคมชัด มอบทัศนวิสัย และความมั่นใจดีเยี่ยม, กล้องบันทึกภาพหน้าและหลังรถ* สามารถเข้าใช้งานผ่าน Mobile Application Toyota DVR สะดวกยิ่งกว่าขับสนุกประหยัดน้ำมัน และมีระบบมาตรฐานความปลอดภัยครบครัน (*สำหรับรุ่น 1.5V)

SIENTA รุ่นปรับปรุงใหม่ “Chic Clicks”

ปรับปรุงใหม่ภายใต้แนวคิด “คลิก ให้ชีวิตสุดชิค” ให้มีความทันสมัย (Chic) และง่ายต่อการใช้งาน แค่เพียงสัมผัส

(Click) ดีไซน์ภายนอกมีเอกลักษณ์ โดดเด่นสะดุดตา  

ใหม่ การตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยเบาะหนังและวัสดุกึ่งสังเคราะห์ (สีดำ-เทา)* ดีไซน์สปอร์ต

ทั้งตอบรับไลฟ์สไตล์ได้ดีกว่าเคยด้วยการปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น เครื่องเล่นวิทยุหน้าจอสัมผัส ที่สามารถรองรับการใช้งาน Apple CarPlay และ Android Auto

มอบความมั่นใจยิ่งกว่า ด้วย กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา* แบบ HD ให้ภาพคมชัด มอบทัศนวิสัย และความมั่นใจดีเยี่ยม, และกล้องบันทึกภาพหน้าและหลังรถ* สามารถเข้าใช้งานผ่าน Mobile Application Toyota DVR ใหม่ (*สำหรับรุ่น 1.5V)

CLICK IDENTITY…คลิกดีไซน์สุดชิค คลิกทุกไลฟ์สไตล์

  • ภายนอก…คลิกกับดีไซน์แตกต่าง

ตอบทุกความต้องการ ลงตัวทุกความโดดเด่น กับดีไซน์ภายนอกสุดโดนใจ และกระจังหน้าโครเมียม  พร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้ว ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-Beam LED และไฟหรี่ LED จัดเต็มไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้ทุกเส้นทาง คลิกกับทุกความเป็นคุณ

  • ภายใน…คลิกกับฟังก์ชันโดนใจ
  • ใหม่ กล้องบันทึกภาพหน้า – หลังรถ (Digital Video Recorder)… เพิ่มความสะดวกสบายด้วยการเข้าถึงภาพและวีดีโอได้แบบเรียลไทม์ผ่านทาง Mobile Application Toyota DVR
  • ใหม่ เครื่องเล่นวิทยุหน้าจอสัมผัส… รองรับการใช้งาน Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบเชื่อมต่อ  Bluetooth, ช่องต่อ USB
  • ใหม่ เบาะหนังและวัสดุกึ่งสังเคราะห์ (สีดำ-เทา)… ดีไซน์ใหม่ สปอร์ต ทันสมัย กว้างขวางตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
  • พวงมาลัยไฟฟ้าพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและ MID

CLICK ALL STYLE…คลิกกับการเติมเต็มอิสระ SEAT ARRANGEMENT

  • FRIEND SPACE ห้องโดยสาร 3 แถว 7 ที่นั่ง… มีพื้นที่กว้าง ให้เพื่อนได้เสมอ
  • FLEXIBLE LIFE พับที่นั่งแถว 3 แบนราบ… ลงตัวทั้งโดยสารและขนของ
  • FULL FUN พับที่นั่งแถว 2 และแถว 3 แบนราบ… จะเล่นของใหญ่ หรือใส่ของเยอะ ก็เอาอยู่
  • FREEFORM ที่นั่งแถว 2 และแถว 3 พับอิสระซ้าย-ขวา… พับแยกอิสระ ปรับได้ทุกรูปแบบ

CLICK INNOVATION

  • กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา (PVM – PANORAMIC VIEW MONITOR)… แบบ HD เทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นมุมมองรอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุด รอบคัน จับภาพแบบเรียลไทม์ ประมวลผลเป็นภาพมุมสูงผ่านหน้าจอ และยังสามารถตรวจจับบุคคลหรือวัตถุใกล้ตัวรถได้ อีกขั้นของเทคโนโลยีที่เพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกเส้นทางได้อย่างลงตัว
  • กล้องหน้า ติดตั้งบริเวณกระจังหน้า… แสดงภาพด้านหน้าตัวรถ เมื่อเข้าโหมดเกียร์ P/N/D* (PVM_P/N/D mode)
  • กล้องข้างซ้าย/ขวา ติดตั้งบริเวณกระจกมองข้าง… แสดงภาพด้านข้าง เมื่อเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย/ขวา (PVM_Turn signal mode) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะเปลี่ยนเลนส์
  • กล้องหลัง ติดตั้งบริเวณประตูท้ายรถ… แสดงภาพด้านหลังอัตโนมัติ พร้อมเส้นกะระยะ เพื่อช่วยให้การถอยจอดง่ายดายยิ่งขึ้น เมื่อเข้าโหมดเกียร์ R (PVM_R mode)
  • UTILITY…คลิกกับพื้นที่ลงตัว
  • ระยะจากพื้นรถถึงพื้นถนนต่ำ…ก้าวขึ้น-ลงสะดวก ปลอดภัย สำหรับผู้โดยสารที่เป็นเด็ก และผู้สูงอายุ
  • จอ LED ขนาด 8 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง…
  • ระบบปรับอากาศ ทั้งด้านหน้าและหลัง
  • พื้นที่สัมภาระท้ายรถขนาดใหญ่ พับ/ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย…พับเบาะได้แบนราบ (Dive-in) เพิ่มพื้นที่วางของเต็มพิกัด

CLICK CONFIDENCE

  • เครื่องยนต์ 2NR-FE… DOHC Dual VVT-i 4 สูบ 16 วาล์ว 1.5 ลิตร

กำลังสูงสุด 108 แรงม้า (79 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 140 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที

  • คลิกกับการควบคุมที่มั่นใจ PERFORMANCE & SAFETY…
    • ระบบ ABS (Anti-lock Braking Assist)… ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน ช่วยควบคุมรถในเวลาคับขัน
    • ระบบกระจายแรงแบรก EBD (Electric Brake-force Distribution)… ช่วยปรับความสมดุลของแรงเบรกที่ล้อหน้าและล้อหลังให้เท่ากัน โดยจะทำงานร่วมกันกับระบบ ABS
    • ระบบเสริมแรงแบรก BA (Brake Assist)… เพิ่มแรงเบรกมากขึ้น เพื่อหยุดรถในระยะที่สั้นกว่าเมื่อเบรกกะทันหัน
    • ระบบควบคุมการทรงตัวอัจฉริยะ VSC (Vehicle Stability Control)… ควบคุมให้รถทรงตัวอย่างมั่นคง แม้ในทางโค้งหรือถนนที่เปียกลื่น
    • ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control)… ป้องกันการไหลของรถ ในจังหวะออกตัวบนทางลาดชัน
    • ระบบป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน DSC (Drive Start Control)… ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ในกรณีที่มีการออกตัวผิดวิธี จากการเปลี่ยนเกียร์แบบกะทันหัน
    • ถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านหน้า (SRS Airbags) 3 ตำแหน่ง… ปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยช่วยลดแรงกระแทกจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • กุญแจป้องกันการโจรกรรม Immobilizer… ป้องกันกุญแจเลียนแบบ ไม่ให้สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ เมื่อรหัสของกุญแจและเครื่องยนต์ไม่ตรงกัน
    • สัญญาณกะระยะถอยหลัง… เตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุใกล้ตัวรถ ขณะถอยจอด
  • ACCESSORIES คลิกกับอุปกรณ์ตกแต่งแท้ เติมเต็มความเป็นคุณ…
    • แผงบังแดดข้าง Side Visor
    • ตาข่ายเก็บของท้ายรถ Cargo Net
    • กล้องบันทึกภาพหน้า-หลังรถ DVR Front & Rear สำหรับรุ่น 1.5G
    • หลอดไฟส่องแผนที่แบบ LED – LED Map Lamp
    • ชุดครอบที่จับประตูโครเมียม Chrome Door Housing
    • แผ่นรองพื้นเรียบท้ายรถ Luggage Board

อุปกรณ์ตกแต่งแท้โตโยต้ารับประกันสูงสุด 3 ปี หรือ 100,000 กม. (โปรดศึกษารายละเอียดจากคู่มือการรับประกันคุณภาพ และการบำรุงรักษารถยนต์)

นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่า SIENTA เป็นรถ Stylish Multi-Tasker โดดเด่นด้วยประตูข้างสไลด์อัตโนมัติ, ระยะจากพื้นรถถึงพื้นถนนต่ำ ก้าวขึ้น-ลงสะดวก พร้อมความบันเทิงเต็มอรรถรส ด้วยหน้าจอ LED ขนาด 8 นิ้ว บริเวณที่นั่งแถวที่ 2-3 กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจึงเน้นที่ ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัว เป็นลูกเล็ก รวมทั้ง ผู้ที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ หรืออาศัยอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ และคนที่รักสัตว์เลี้ยงเป็นชีวิตจิตใจ ตอบรับการใช้งานของไลฟ์สไตล์คนเมือง ไม่ว่าจะเป็นการออกไปทำกิจกรรมในเมือง การขนของใช้ส่วนตัว รวมทั้งการออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง

“ทางด้านการสื่อสารการตลาด เราจะเน้นการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้า โดยสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Cinema graph, Online Material และทางวิทยุ เพื่อสร้างการรับรู้ ผ่านจุดขายหลักของ SIENTA ที่เป็น “รถยนต์ 7 ที่นั่ง ที่โดดเด่นด้วยประตู Slide Door ควบคุมง่ายเพียงคลิกเดียว” ภายใต้แนวคิด Toyota SIENTA “Chic Clicks”  

สำหรับความพร้อมในการส่งมอบรถ สำหรับรุ่น1.5G พร้อมส่งมอบ ตั้งแต่ 17 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป ส่วนในรุ่น1.5 V จะพร้อมส่งมอบ ตั้งแต่ 24 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป

เลือกเป็นเจ้าของ SIENTA รุ่นปรับปรุงใหม่ 4 สี

 – Citrus Mica Metallic                   –  Silver Metallic

 – Super White II                            – Attitude Black Mica

และ 2 เกรด ในราคาสุดคุ้ม

  • 1.5 V เกียร์อัตโนมัติ                 ราคา    889,000 บาท**            
  • 1.5 G เกียร์อัตโนมัติ                ราคา    775,000 บาท**

**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 

สัมผัสและทดลองขับ Toyota SIENTA รุ่นปรับปรุงใหม่ “Chic Clicks”

พร้อมรับข้อเสนอมากมาย

ครั้งแรก! ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43

ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2565

ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

และที่ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม เป็นต้นไป

ทีทีซี มอเตอร์ พร้อมให้บริการโชว์รูมและศูนย์บริการลุคใหม่

ทีทีซี มอเตอร์ พัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าอีกขั้น ด้วยการปรับโชว์รูมและศูนย์บริการ สาขาพัฒนาการ 45 ให้สอดรับกับนโยบายเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ที่ให้ความสำคัญกับการตลาดและการขายในรูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายพื้นที่ต้อนรับ Mercedes-Maybach สุดยอดยนตรกรรมระดับลักชัวรี่ ด้วยความพิเศษกับห้องรับรองสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Cigar Bar ให้ความเป็นส่วนตัวมากที่สุดสำหรับลูกค้า

นายอัครินทร์ ตั้งทวีสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีและเมอร์เซเดส-มายบัค  (Mercedes-Benz  Mercedes-AMG  Mercedes-Maybach) อย่างเป็นทางการ กล่าวว่า หลังจากที่ทีทีซี มอเตอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายรถยนต์ Maybach อย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทีทีซีได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงโชว์รูมและศูนย์บริการ สาขาพัฒนาการ 45 พร้อมขานรับกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ด้วยบริการที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น และรองรับยนตรกรรมระดับลักชัวรี่ เมอร์เซเดส-มายบัค ที่พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดประเทศไทยในปลายปีนี้

“สำหรับการปรับปรุงโชว์รูมและศูนย์บริการของทีทีซีในครั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับการสร้างแพลตฟอร์มการสื่อสาร เพื่อสื่อภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ลักชัวรี่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในระยะยาว ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ในปีนี้และปีถัดไป เราซึ่งเป็นผู้จำหน่ายจึงต้องเดินตามนโยบายของบริษัทแม่ เพื่อก้าวต่อไปที่แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน”

นายอัครินทร์ ตั้งทวีสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด

รูปโฉมใหม่ของทีทีซี มอเตอร์ ยิ่งใหญ่และทันสมัยกว่าที่เคย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น Facilities ทุกส่วนได้ยกระดับใหม่ทั้งหมด และที่สุดของความเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าคนพิเศษคือ  Cigar Bar และห้องรับรองสุดหรู Mercedes-Maybach มอบความเป็นส่วนตัวให้กับลูกค้าอย่างเป็นพิเศษ พร้อมด้วยการบริการที่เหนือระดับและ Exclusive ยิ่งขึ้น ทั้งบริการนวดผ่อนคลาย บริการอาหารและเครื่องดื่มฯ

ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี และเมอร์เซเดส-มายบัค สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ๆ ก่อนใครได้ที่ : line.me/R/ti/p/@benzttc

หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร. 1274, 02-322-2222, 083-545-6456 (TTC Motor พัฒนาการ 45)
โทร. 045-475-222 (TTC Motor อุบลราชธานี)
Official Line : line.me/R/ti/p/@benzttc
IG : instagram.com/benzttc
Google map : g.page/BenzTTC?share

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิด GWM Experience Center แห่งแรกในไทย ณ ไอคอนสยาม

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิด GWM Experience Center แห่งแรกของประเทศไทย ณ ไอคอนสยาม หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพมหานคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยตั้งเป้าเป็นพื้นที่ที่ 4 (The 4th Space) นอกเหนือจากบ้าน ที่ทำงาน และสถานที่ไลฟ์สไตล์ต่างๆ เพื่อเป็นพื้นที่แห่งใหม่ให้คนไทยได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ และใช้ช่วงเวลาดีๆ ไปด้วยกัน ผ่านกิจกรรมสุดพิเศษที่หลากหลาย พร้อมพื้นที่ทำงาน พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ คาเฟ่ และสไลเดอร์ขนาดใหญ่ รวมไปถึงการจัดแสดงสุดยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์อันล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่พร้อมส่งมอบความประทับใจ ความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของไทยและผู้ที่มาเยี่ยมชมได้อย่างครบครัน

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตอกย้ำกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจโดยยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-centered) ด้วยการเดินหน้าสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์คอนเซ็ปต์ “New Energy” “New Intelligence” และ “New Experience” โดยหลังจากได้รับเสียงตอบรับที่ดีด้านการขายและการให้บริการหลังการขายแบบ Online-to-Offline (O2O) รูปแบบใหม่ ผ่าน GWM Store และ Partner Store ไปแล้ว ล่าสุด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เปิด GWM Experience Center ขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญและเป็นพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์แห่งใหม่สำหรับผู้บริโภค ซึ่งได้มีพิธีเปิดไปเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีทีมผู้บริหารจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ สยามพิวรรธน์ และไอคอนสยาม รวมไปถึงแฟนๆ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ให้เกียรติมาร่วมพิธีและทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันอย่างอบอุ่น

มร.สตีเว่น หวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย เผยว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ให้ความสำคัญสูงสุดกับผู้บริโภคในการดำเนินธุรกิจในทุกๆ ขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนาการทำแผนธุรกิจ การตลาด ตลอดจนการจัดกิจกรรมต่างๆ เราจะคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคและสร้างสรรค์ผลงานให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างดีที่สุดอยู่เสมอ การเปิด GWM Experience Center ของเราที่ประเทศไทยในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจและก้าวที่สำคัญของเราที่ได้มีโอกาสส่งมอบพื้นที่แห่งใหม่ ให้ทุกคนได้มาร่วมสร้างชุมชนแห่งความคิดสร้างสรรค์และแบ่งปันประสบการณ์ แรงบันดาลใจ รวมถึงเรื่องราวดีๆ ให้แก่กัน เราอยากให้ที่นี่เป็นดั่ง The 4th Space หรือ พื้นที่ที่ 4 สำหรับทุกคน นอกเหนือจากบ้าน ที่ทำงาน และสถานที่ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนรู้ ทำกิจกรรมที่ชอบ มานั่งทำงานหรือพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการทำความรู้จักแบรนด์และผลิตภัณฑ์ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผ่านการจัดแสดง รวมไปถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของเราในแต่ละโซน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมที่นี่ จะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด พร้อมบริการและการต้อนรับอย่างอบอุ่น และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า GWM Experience Center แห่งนี้จะเป็นอีกพื้นที่ ที่เชื่อมต่อและสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ และผู้บริโภคชาวไทยทุกคนต่อไปในอนาคต”

GWM Experience Center ตั้งอยู่บนพื้นที่ชั้น 3 และ 4 ของไอคอนสยาม ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,600 ตารางเมตร ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลจากเส้นสายต่างๆ อันเป็นเอกลักษณ์จากโลโก้และรถยนต์ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ซึ่งเป็นเส้นสายที่โดดเด่น มีความไดนามิคและทันสมัย สะท้อนถึงสุดยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภายในและบริเวณโดยรอบของ GWM Experience Center ยังมีการตกแต่งด้วยต้นไม้และวัสดุจากธรรมชาติ พร้อมโทนสีที่เรียบง่ายแต่ทันสมัย บ่งบอกถึงความโดดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่มีความใส่ใจและรักษ์สิ่งแวดล้อมของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เป็นอย่างดี

GWM Experience Center ได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 7 โซน เพื่อตอบโจทย์ความหลากหลายของแต่ละความสนใจ รูปแบบกิจกรรม และไลฟ์สไตล์ของผู้ที่มาเยี่ยมชม ได้แก่

1. MOBILITY EXPERIENCE PARK

หากเดินเข้ามาในพื้นที่ชั้น 3 ของไอคอนสยาม โซนนี้จะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมบริเวณส่วนกลางของ GWM Experience Center โดดเด่นด้วยการจัดแสดงรถยนต์รุ่นต่างๆ ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น All New HAVAL H6 Hybrid SUV ทั้งรุ่น ULTRA และรุ่น PRO ซึ่งเป็นรถยนต์คอมแพคเอสยูวียอดนิยมของคนไทยในขณะนี้

โดยไฮไลท์แรกของโซนนี้ อยู่ที่ LED Sphere ซึ่งเป็น LED ลูกโลกขนาดใหญ่ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 เมตร น้ำหนักกว่า 350 กิโลกรัม และมีความสว่าง 800 แคนเดลา/ตารางเมตร ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์พร้อมลำโพงติดผนัง สะท้อนให้เห็นถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีอัจฉริยะจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการถ่ายทอดเรื่องราวและไอเดียที่น่าสนใจต่างๆ ผ่านลูกโลกใบนี้ได้อย่างน่าสนใจ นับเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายภาพและจุดเช็คอินที่ไม่ควรพลาด

อีกหนึ่งไฮไลท์ของโซนนี้ และนับได้ว่าเป็นจุดเด่นสำคัญของ GWM Experience Center คือ สไลด์เดอร์ขนาดใหญ่ความสูงกว่า 6.9 เมตร และยาวกว่า 15 เมตร ซึ่งเปิดให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถมาเล่นและเพลิดเพลินไปกับการเดินทางย้อนวันวานสู่วัยเยาว์ได้อย่างสนุกสนาน ช่วยเติมเต็มจินตนาการและชาร์จพลังได้อย่างเต็มที่ ในบริเวณนี้ยังจัดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ส่วนกลางพร้อมการจัดที่นั่งแบบ Amphitheater สำหรับการหมุนเวียนจัดกิจกรรมต่างๆ โดยสามารถปรับเปลี่ยนการจัดสรรพื้นที่ได้ตามต้องการ พร้อมรองรับได้สูงสุดกว่า 100 ที่นั่ง เพื่อส่งเสริมการเชื่อมความสัมพันธ์ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงการแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ ระหว่างกัน

2. TECHNOLOGY LAB

เป็นโซนที่จัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันล้ำสมัยของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่ผ่านการคิดค้นและพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดต่อผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และโลก โดดเด่นด้วย Intelligent Interactive LED Wall ขนาดใหญ่ ขนาด 14 x 3 เมตร ที่มาพร้อมความละเอียดสูง 7.5 ล้านพิกเซล และมีความสว่าง 600 แคนเดลา/ตารางเมตร ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์และระบบเสียง พร้อมติดตั้ง LiDAR touch sensor เพิ่มลูกเล่นและกิจกรรม Interactive ให้กับผู้เยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี โดยมีจุด Interactive Touch Points 5 จุด รองรับผู้เล่นได้ถึง 5 คนพร้อมกัน ซึ่งจะมีการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น โดยจุดตรงกลางจะสามารถดูภาพรถยนต์ได้ทั้ง 360 องศา และสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรม เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ และฟีเจอร์สุดพิเศษของรถแต่ละรุ่นได้อย่างเต็มที่

3. CONFERENCE HALL

พื้นที่ห้องประชุม 2 ห้อง ซึ่งสามารถรองรับได้ถึง 40 ที่นั่ง โดดเด่นด้วยการออกแบบเป็นกระจกบานใหญ่เพื่อให้สามารถประชุมพร้อมชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างเต็มที่ โดยไฮไลท์สำคัญของโซนนี้คือ จอ Interactive Smart Board แบบทัชสกรีน ขนาด 86 นิ้ว ที่รวมเทคโนโลยีสุดล้ำที่เอื้อต่อการทำงานแบบมืออาชีพเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแบบการเขียนกระดานไวท์บอร์ดทั่วไป การใช้เป็นโปรเจคเตอร์ นำเสนองาน หรือการประชุมผ่านวิดีโอ Conference และยังสามารถแชร์หน้าจอได้ถึง 4 หน้าจอพร้อมกัน รวมไปความสามารถในการบันทึก แชร์เนื้อหาและเสียงจากการประชุมจาก Smart Board ไปยังคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์ได้ในทันที นับเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม

4. LIVING ROOM & SKY GARDEN

ครอบคลุมบริเวณพื้นที่ทั้งสองชั้นของ GWM Experience Center โดยในแต่ละชั้น มีการจัดสรรพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนพื้นที่ Indoor ที่มีการจัดที่นั่งให้ดูสบายเหมือนพื้นที่สำหรับรับแขก ให้สามารถมานั่งทำงาน หรือจิบกาแฟเพื่อพักผ่อนได้อย่างสบายใจ และอีกส่วนเป็นพื้นที่ Outdoor ซึ่งมีการจัดสวน Sky Garden ที่นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของโซนนี้ โดยมีการจัดโต๊ะ และเก้าอี้ ผสานกับการออกแบบสวนและต้นไม้นานาพรรณในบริเวณระเบียงด้านนอกอย่างงดงาม เหมาะแก่ทั้งการนั่งทำงาน การหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ หรือการพักผ่อนรับลมและชมวิวสวยๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมจิบเครื่องดื่มแก้วโปรด ช่วยสร้างความรื่นรมย์ใจได้เป็นอย่างดี

5. GWM STORY

โซนนี้ประกอบด้วย Interactive Wall ขนาด 2.5 x 1.5 เมตร ที่ถ่ายทอดเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้งแต่การเริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ.1984 ไปจนถึงวิวัฒนาการของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งเรื่องราวของขั้นตอนและรายละเอียดการผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยสูง รวมไปถึงเส้นทางความสำเร็จของแบรนด์ที่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้ทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ดีมากยิ่งขึ้น

6. CAR MAPPING

โซนนี้อยู่ในพื้นที่ชั้น 2 ของ GWM Experience Center โดยไฮไลท์สำคัญของโซนนี้คือ Car Mapping ซึ่งเป็นโมเดลจำลองรถยนต์จากแบรนด์ ORA แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เตรียมนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในปีนี้ โดย Car Mapping นี้เป็นจุดที่ผู้เยี่ยมชมสามารถปลดปล่อยจินตนาการได้อย่างอิสระ ผ่านการลงสีรถยนต์บนจอได้ตามที่ต้องการ จากนั้นจะมีการประมวลผลผลงานการระบายสีผ่านระบบโปรเจคเตอร์และไฟ LED และสะท้อนสีสันไปบนโมเดลรถยนต์ ORA ได้อย่างสวยงาม ซึ่งทุกคนสามารถร่วมสนุกและปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์กับกิจกรรมนี้ พร้อมกับเซฟไฟล์ภาพหรือถ่ายรูปเพื่อนำผลงานไปอวดในโซเชียลมีเดียได้อีกด้วย

7. GWM CAFE & CO-KITCHEN

โซนนี้ประกอบไปด้วยพื้นที่ 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็น คาเฟ่ ให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมสามารถนั่งพักผ่อนและดื่มด่ำไปกับเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ โดยในโซนนี้ มีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ Interactive Coffee Table ซึ่งเป็นโต๊ะที่เป็นจอดิจิทัลขนาด 55 นิ้ว มาพร้อมกับเลเซอร์โปรเจคเตอร์ เลนส์ซูม Motion sensor และ Interactive pen พร้อมด้วยนวัตกรรมที่สามารถตรวจจับจำนวนวัตถุได้แบบเรียลไทม์ โดยเมื่อวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ ระบบเซนเซอร์จะตรวจจับตำแหน่งของแก้ว พร้อมแสดงรูปสัตว์น่ารักๆ ประเภทต่างๆ เพิ่มสัมผัสของธรรมชาติและการรักษ์โลก โดยมีบาริสต้าคอยให้บริการ นอกจากนี้ ยังเปิดให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้เขียนและแชร์ไอเดียรักษ์โลกในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ Interactive Pen เพื่อแสดงผลไปยังจอด้านหลังได้อีกด้วย นับเป็นการสร้างประสบการณ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแก้วโปรดได้อย่างล้ำสมัยและเพลิดเพลิน นอกจากนี้ ในโซนนี้ยังมีพื้นที่อีกส่วนที่จัดเป็น Co-Kitchen ที่จัดเตรียมไว้สำหรับ
การทำกิจกรรมเกี่ยวกับการประกอบอาหาร เพื่อรังสรรค์เมนูสุดครีเอทีฟกันได้อย่างเต็มที่

นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) เสริมว่า “เราเชื่อว่าผู้บริโภคทุกคนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ๆ และสิ่งนี้ถือเป็นวัฒนธรรมหลักและ DNA ของเราทุกคนที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั้งนี้ การเปิด GWM Experience Center ที่ประเทศไทย จึงเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเราที่จะสร้างพื้นที่ที่เปิดกว้างให้คนไทยและผู้ที่มาเยี่ยมชมทุกท่านได้มีโอกาสมาร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเราตั้งใจออกแบบและผสานการใช้เทคโนโลยีของโลกอนาคตไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมที่เราคัดใส่มาให้ทุกคนได้มีส่วนรวมในโซนต่างๆ กิจกรรมเวิร์คชอปที่น่าสนใจ การจัด TED Talks ให้กูรูและทุกคนได้มีโอกาสมาแบ่งปันเรื่องราวและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กัน ตลอดจนการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ทั้งพื้นที่ห้องประชุม พื้นที่นั่งทำงาน Co-Kitchen หรือมุมพักผ่อนหย่อนใจ ที่เรามีทั้งพื้นที่ชมวิวด้านนอกกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอันสวยงามและพื้นที่ด้านในที่เป็นคาเฟ่สุดชิค รวมถึงพื้นที่สร้างความสนุกให้กับครอบครัวอย่างสไลเดอร์แบบวนขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์หลักของที่นี่ที่ทุกคนไม่ควรพลาด และเราเชื่อว่าที่นี่จะเป็นบ้านหลังใหม่ที่ช่วยเติมเต็มรอยยิ้มและความสุขให้กับคนไทยและทุกๆ คนที่ได้แวะเวียนมาได้อย่างแน่นอน”

ที่ GWM Experience Center แห่งนี้ จะมี Experience Center Specialist คอยดูแล ให้คำแนะนำ และช่วยจัดกิจกรรมในแต่ละโซน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชมได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมี Intelligent Ambassador หรือ iAM ที่จะช่วยให้ข้อมูล ตอบคำถาม และให้ความรู้เพิ่มเติมให้กับผู้ที่สนใจรถยนต์ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ อีกด้วย โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเยี่ยมชม GWM Experience Center ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.30 น. (เวลาทำการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการเปิด-ปิดของไอคอนสยามและข้อกำหนดของทางหน่วยงานรัฐบาล) ที่บริเวณชั้น 3 และ 4 ของไอคอนสยาม และสามารถติดตามข่าวสารอัพเดท รวมถึงการจองเข้าร่วมเวิร์คชอป หรือกิจกรรมที่น่าสนใจของ GWM Experience Center ได้ที่ GWM Application และ Facebook GWM Thailand

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Mobility Technology Company) จะยังคงรักษาคำมั่นสัญญาและพร้อมเดินหน้ายกระดับประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้กับผู้บริโภคชาวไทยให้พร้อมก้าวเดินสู่โลกแห่งอนาคตไปด้วยกันอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับนำเสนอและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดตลอดจนเทคโนโลยีอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงความพร้อมในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไกลและเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ลงนามข้อตกลงซื้อโรงงานที่ประเทศบราซิล

เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) และเดมเลอร์ เอจี (Daimler AG) ร่วมลงนามในข้อตกลงซื้อขายโรงงานอิเรซมาโพลิส (Iracemapolis) ในประเทศบราซิลอย่างเป็นทางการ โดยมีกำหนดส่งมอบโรงงานให้แล้วเสร็จภายในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 ซึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนาโรงงานเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) และเป็นไปตามมาตรฐานโรงงานอื่นๆ ทั่วโลกของบริษัท นับเป็นอีกการตอกย้ำความพร้อมในการขยายธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศบราซิลและภูมิภาคอเมริกาใต้

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจและฐานการผลิตรถยนต์ทั่วโลกภายใต้กลยุทธ์ โลกาภิวัตน์ (Globalization Strategy) อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เปิดโรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่จังหวัดระยอง อย่างเป็นทางการในประเทศไทยไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นโรงงานผลิตแบบเต็มรูปแบบแห่งที่สองนอกประเทศจีนของบริษัท และถือเป็นศูนย์กลางการผลิต จำหน่าย และส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาของบริษัทในภูมิภาคอาเซียน ล่าสุด ผู้บริหารจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศจีน นำโดย นายเสียง จวิน เมิ่ง ประธานบริหาร และ นายเซี่ยง ซ่าง หลิว รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ระดับโลก ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมลงนามข้อตกลงในการซื้อขายโรงงานอิเรซมาโพลิส (Iracemapolis) ประเทศบราซิลอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเดมเลอร์ เอจี ประเทศบราซิล ร่วมลงนาม ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทมีกำหนดส่งมอบโรงงานให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้

นายเสียง จวิน เมิ่ง ประธานบริหาร ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เผยว่า “อเมริกาใต้เป็นอีกภูมิภาคหนึ่งที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านตลาดรถยนต์สูงไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ริเริ่มขยายธุรกิจไปสู่ภูมิภาคนี้ โดยเริ่มจากประเทศชิลีเมื่อปี พ.ศ. 2550 ในฐานะแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีนแบรนด์แรกที่เข้าไปทำตลาดในประเทศชิลี หลังจากประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากตลาดชิลี  การดำเนินการในครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการเดินหน้ารุกตลาดรถยนต์ในทวีปอเมริกาใต้ ด้วยการลงนามข้อตกลงกับบริษัทเดมเลอร์ เอจี ประเทศบราซิล เพื่อซื้อขายโรงงานอิเรซมาโพลิส (Iracemapolis) ซึ่งบราซิลนับเป็นอีกหนึ่งประเทศสำคัญในภูมิภาคนี้ที่มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ลักษณะภูมิประเทศ และจำนวนประชากร และยังเป็น 1 ใน 7 ตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นการเตรียมจัดตั้งโรงงานของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในประเทศบราซิล จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์และแผนการดำเนินธุรกิจที่บริษัทหมายมั่นและเชื่อว่าบราซิลจะเป็นอีกประเทศยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอเมริกาใต้”

เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนาโรงงานอิเรซมาโพลิส (Iracemapolis) ในประเทศบราซิลให้เป็นอีกหนึ่งโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ของบริษัทที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี ระบบการควบคุม รวมไปถึงระบบจัดการข้อมูลอันล้ำสมัย ควบคู่กับนวัตกรรมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลของโรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั่วโลก โดยเมื่อมีการปรับปรุงและพัฒนาโรงงานเสร็จสิ้น โรงงานแห่งนี้จะมีกำลังการผลิตแบบเต็มรูปแบบอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี และคาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานมากกว่า 2,000 ตำแหน่ง ให้กับคนในท้องที่ นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังมีแผนที่จะส่งเสริมการพัฒนาและบูรณาการด้านต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานต์ยนต์ท้องถิ่น ให้มีความก้าวหน้าและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศบราซิลด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีโรงงานผลิตรถยนต์กว่า 12+5 แห่ง ทั่วโลก โดยแบ่งเป็นโรงงานผลิตเต็มรูปแบบรวมทั้งสิ้น 12 แห่ง รวมถึงโรงงานแห่งล่าสุดที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย ซึ่งมีกำลังการผลิตเต็มกำลังอยู่ที่ 80,000 คันต่อปี นอกจากนี้ ยังมีโรงงานแบบ KD (Knock Down) อีก 5 แห่งนอกประเทศจีนในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งในมาเลเซีย เอกวาดอร์ ตูนิเซีย บัลแกเรีย และอิหร่าน โดยแต่ละโรงงานจะมีกำลังการผลิต เทคโนโลยีและความโดดเด่นที่แตกต่างกัน เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ในแต่ละประเภทสำหรับตลาดในแต่ละภูมิภาคที่แตกต่างกัน นอกจากการตั้งฐานการผลิตในภูมิภาคสำคัญต่างๆ ทั่วโลกแล้ว เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังมีเครือข่ายศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 10 แห่ง ใน 7 ประเทศ ทั่วโลก เพื่อเฟ้นหาและพัฒนาเทคโนโลยีด้านยานยนต์ใหม่ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการผลิตรถยนต์ให้ทันสมัย ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนรายต้นๆ ที่ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศเป็นอย่างสูง โดยเริ่มส่งออกรถยนต์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 นำโดยรถยนต์เอสยูวีอย่างแบรนด์ HAVAL และรถยนต์จากแบรนด์ย่อยอื่นๆ ของบริษัทไม่ว่าจะเป็น ORA แบรนด์รถไฟฟ้า GWM PICK UP แบรนด์รถกระบะ WEY แบรนด์รถยเอสยูวีพรีเมี่ยม รวมไปถึงแบรนด์ย่อยน้องใหม่ล่าสุดอย่าง TANK ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ดำเนินธุรกิจผ่าน 500 เครือข่ายในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ทั้ง รัสเซีย แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย อเมริกากลาง อเมริกาใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก แต่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงมียอดขายรถยนต์จากทั่วโลกรวมสูงกว่า 700,000 คัน ในปีนี้ (อัพเดทข้อมูลถึงเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2564) โดยเพิ่มขึ้นถึง 49.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และเป็นยอดขายจากตลาดต่างประเทศกว่า 74,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 176.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยยอดขายในต่างประเทศจะคิดเป็นสัดส่วน 10.4% ของยอดขายโดยรวมทั้งหมด แสดงถึงศักยภาพของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกอย่างแท้จริง

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เตรียมก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกจัดประชุมออนไลน์เผยกลยุทธ์แก่ตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก

เกรท วอลล์ มอเตอร์ จัดการประชุมออนไลน์ให้กับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ ประจำปี 2564 (GWM 2021 Overseas Distributors Online Conference) ในหัวข้อ”To Change & For Future” เพื่อชี้แจงแนวคิดในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมถ่ายทอดกลยุทธ์หลักของบริษัท ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้แทนจำหน่ายด้วยการสรุปผลงานและประสิทธิภาพของการดำเนินงานตลอดปีที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนจากผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศเกือบ 200 รายจากกว่า 60 ประเทศในทุกภูมิภาค อาทิ รัสเซีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมออนไลน์แบบถ่ายทอดสด

แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ผนวกกับการแข่งขันทางธุรกิจของแบรนด์ต่างๆ ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ  เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงเดินหน้าประกาศกลยุทธ์การดำเนินงานและความสำเร็จของปีนี้ ด้วยยอดขายทั่วโลกที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการจัดประชุมออนไลน์ให้กับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศประจำปี 2564 (GWM 2021 Overseas Distributors Online Conference) โดยตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 เกรท วอลล์ มอเตอร์ มียอดขายรถยนต์รวมจากทั่วโลกรวมสูงกว่า 700,000 คัน โดยเพิ่มขึ้น 49.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นยอดขายในต่างประเทศกว่า 74,000 คัน เพิ่มขึ้น 176.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยยอดขายในต่างประเทศนี้คิดเป็นสัดส่วน 10.4% ของยอดขายโดยรวมทั้งหมด นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการรองรับตลาดโลก รวมถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ที่เกิดจากการมองการณ์ไกลและการปรับตัวอย่างรวดเร็วภายใต้สภาวะโรคระบาดและการแข่งขันที่สูงขึ้น ในการนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้มอบรางวัล Sales Pioneer Awards ให้กับผู้จัดจำหน่ายชั้นนำ 4 ราย จาก ชิลี ซาอุดิอาระเบีย โกตดิวัวร์ และยูเครน ในฐานะตัวแทนจำหน่ายที่สามารถเอาชนะความยากลำบากและสร้างมาตรฐานการขายที่ประสบความสำเร็จได้ในตลาดต่างประเทศได้อย่างยอดเยี่ยม

นายเสียง จวิน เมิ่ง ประธานบริหารของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ กล่าวว่า “เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกในปี ค.ศ. 2025 หรือ พ.ศ. 2568 วิธีเดียวที่จะทำให้เราเป็นผู้นำในตลาดโลกได้คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเริ่มต้นโดยการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับบุคลากรจนไปถึงระดับองค์กร และจะสร้างความโดดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมกับยืนหยัดในหลักการการดำเนินงานที่เน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-Centric Operation)”

นายเสียง จวิน เมิ่ง ประธานบริหารของ เกรท วอลล์ มอเตอร์

สำหรับแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดโลกด้วยกลยุทธ์ Category Operation ซึ่งประกอบด้วย “Single product evolution” หรือการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในประเภทนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง และ “Category differentiation” หรือการเพิ่มประเภทหรือหมวดหมู่ย่อยเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลายหลายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะมุ่งสู่การเป็นผู้นำโลกด้วยรถยนต์คุณภาพสูงที่สอดรับกับเทรนด์ของโลก ทั้งในด้านพลังงานไฟฟ้า (Electrification) การสร้างเครือข่าย (Networking) และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย (Intelligence) โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) คุณภาพของแบรนด์ที่มาพร้อมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อให้รถยนต์ทุกคันจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีและสมรรถนะของรถที่ชาญฉลาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยยิ่งขึ้นเพื่อผู้ใช้ทั่วโลก

นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อให้สามารถเข้าถึงความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างรอบด้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Deep enterprise reforms” การปรับภาพลักษณ์และการทำงานของแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ระดับโลกที่เป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภค รวมไปถึงการสร้าง Systematic user operation หรือการสร้างประสบการณ์กับผู้ใช้อย่างเป็นระบบเพื่อดึงดูดผู้บริโภคมาสู่แบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น ผ่านการอัปเกรดวิธีการทางการตลาดและการสร้างระบบนิเวศด้านการบริการที่ชาญฉลาดและสร้างสรรค์ (Innovative service ecosystem) เพื่อสร้างระบบการทำงานและการบริการที่น่าประทับใจเหนือความคาดหวังของผู้บริโภคทั่วโลก และผู้บริโภคจะช่วยต่อยอดความสำเร็จและความประทับใจของแบรนด์แบบปากต่อปากได้ดียิ่งขึ้น

จากการประชุมดังกล่าว นายเซี่ยง ซ่าง หลิว รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ระดับโลกของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เน้นย้ำเป้าหมายเชิงกลยุทธ์แก่ผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของปริมาณการผลิตและการขายให้บรรลุเป้าหมายยอดขาย 4 ล้านคันทั่วโลก ภายในปี ค.ศ.2025 หรือ พ.ศ. 2568 โดยนับเป็นเป้ายอดขายในต่างประเทศ 1 ล้านคัน ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ของการก้าวสู่แบรนด์ชั้นนำในระดับโลก ด้วยการการสร้างสรรค์กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นกลยุทธ์สำคัญ และตั้งเป้าหมายที่จะสร้างระบบการจัดการเกี่ยวกับผู้ใช้งานอย่างครบวงจร เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ทั่วโลก

นายเซี่ยง ซ่าง หลิว รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ระดับโลกของ เกรท วอลล์ มอเตอร์

นอกจากงานแถลงกลยุทธ์การขึ้นเป็นแบรนด์ระดับโลกกับตัวแทนจำหน่ายแล้ว ล่าสุด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้มีการลงนามข้อตกลงกับบริษัทเดมเลอร์ ประเทศบราซิล โดยมีการจัดพิธีออนไลน์เพื่อลงนามข้อตกลงในการซื้อขายโรงงาน Iracemapolis ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศบราซิลให้กับทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ โดยจะมีกำหนดการส่งมอบโรงงานให้แล้วเสร็จภายในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 นี้ และจะมีการปรับปรุงและพัฒนาโรงงานเพิ่มเติมให้เป็นไปตามมาตรฐานของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั่วโลก ซึ่งหลังจากที่การปรับปรุงและพัฒนาระบบเสร็จสิ้นในอนาคต โรงงานแห่งนี้จะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี และจะช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง ให้กับคนในท้องที่ นับเป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จในกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและการพัฒนาของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในตลาดอเมริกาใต้

ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Mobility Technology Company) เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงเน้นย้ำความพร้อมและเดินหน้าสร้างสรรค์และนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่อันยอดเยี่ยมให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลกต่อไป และจะยังคงการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการบริหารองค์กรและแนวทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในตลาดโลกในอนาคต

ฮอนด้า เสริมความแข็งแกร่งไลน์อัปไฮบริด เปิดตัว “เดอะ ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี”

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำตำแหน่งผู้บุกเบิกและผู้นำเซกเมนต์ซิตี้คาร์ในประเทศไทย เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ ครั้งแรกในโลก ยนตรกรรมซิตี้คาร์แฮทช์แบ็กฟูลไฮบริด ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งของไลน์อัปไฮบริดของฮอนด้าไปอีกขั้น และเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ “เดอะ ซิตี้ ซีรีส์” (The City Series) มาพร้อมจุดเด่นเทคโนโลยี Full Hybrid อันทรงพลัง กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING) พร้อมด้วยเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ด้วยดีไซน์สไตล์ RS รอบคัน เสริมเอกลักษณ์ยนตรกรรมไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และโลโก้ e:HEV พร้อมแนะนำสีใหม่สุดเอกซ์คลูซีฟกับสีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) เสริมความมั่นใจในการใช้งานด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) คุ้มค่าเกินคลาส ด้วยราคาจำหน่ายรุ่น e:HEV RS 849,000 บาท

มร.โนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมื่อปลายปี 2563 ฮอนด้า ได้เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า โดยมีจุดเด่นคือการผสานการขับขี่ที่สนุกสนานและความอเนกประสงค์อันเป็นเอกลักษณ์ของรถสไตล์แฮทช์แบ็กไว้ได้อย่างลงตัวมาในครั้งนี้ได้นำเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อนอันทรงพลังและล้ำสมัย กับระบบฟูลไฮบริด และเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมียม ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ผนวกกับเอกลักษณ์ความเป็นยนตรกรรมสไตล์แฮทช์แบ็ก ด้วยการแนะนำ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ จึงนับได้ว่าเป็นซิตี้คาร์ที่สมบูรณ์แบบและพร้อมมอบพลังใหม่ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนและความปลอดภัยอันล้ำสมัย ซึ่งพร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยราคาที่เข้าถึงได้

ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ ยนตรกรรมฟูลไฮบริดแฮทช์แบ็กของเซกเมนต์ซิตี้คาร์ ที่พร้อมมูฟไปกับพลังเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัย กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ระบบ Full Hybrid ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า และ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก แรงเกินคลาส โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาดเพื่อตอบรับกับทุกการใช้งาน ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 86 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20

มูฟได้อย่างมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ได้แก่

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยระดับพรีเมียม อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และ ระบบ Auto Brake Hold ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT)

มูฟอย่างมีสไตล์ สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์ภายนอกสปอร์ตรอบคัน สะท้อนเอกลักษณ์อันโดดเด่นของยนตรกรรมไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้าและสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย เสริมความสปอร์ตยิ่งขึ้นกับดีไซน์สไตล์ RS รอบคัน ด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS กันชนหน้าและหลังสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED และ ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ผสานฟังก์ชันการใช้งานและเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ไว้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งแถบสีแดง รองรับการใช้งานในทุกมูฟเมนต์ด้วยเบาะนั่ง อัลตรา ซีท (ULTR) ที่สามารถแยกพับแบบ 60:40 และปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมด้วยห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ ได้แก่

  • Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
  • Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
  • Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
  • Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด

พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงวิทยุหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI และระบบสตาร์ตเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว เป็นต้น

มูฟไปทุกที่อย่างไร้กังวล ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีระดับพรีเมียมในค่าบำรุงรักษาสไตล์ซิตี้คาร์ ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์* (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร ต่อจากระยะเวลาหรือระยะทางการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแรกสิ้นสุดลง รวมสูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

มูฟไปตามใจคิด เปี่ยมไปด้วยพลังใหม่ในแบบของคุณ กับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่น e:HEV RS ราคา 849,000 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) เฉพาะซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี เท่านั้น สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโซนิค (มุก) และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)

มาพร้อมข้อเสนอพิเศษเพื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น กับ ดอกเบี้ย 2.99% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี พิเศษ สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2564 – 31 กรกฎาคม 2564 รับฟรีหูฟัง Skullcandy True Wireless Earbuds รุ่น Sesh Evo สี Deep Red มูลค่า 3,590 บาท  

สัมผัส ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับเซลทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th ติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/cityhatchbackehev

เสริมความสปอร์ตพรีเมียมในทุกมูฟเมนต์ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) ที่มาพร้อมแนวคิด “Stage Up Booster” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ ชุดป้องกันรอยบริเวณที่เปิดประตู ราคา 1,100 บาท ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง ราคา 5,500 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท คิ้วบันไดสแตนเลส LED ราคา 4,400 บาท แผงครอบกันรอยขอบห้องสัมภาระ ราคา 900 บาท กล้องวิดีโอติดรถยนต์ ราคา 3,850 บาท

หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ทั้งหมด 2 แพ็กเกจ ได้แก่

  • Modulo Aero Sport Package ราคา 21,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น และ ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง
  • Modulo Aero Package ราคา 16,900 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง และ สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น

ดูรายละเอียดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/line-up/honda-city-hatchback-eHEV

หมายเหตุ

  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
  • สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท
  • สีเทาโซนิค (มุก) และ สีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 6,000 บาท

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX และ iX3 รถยนต์ SAV พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรก เปิดจองออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน เวลา 14:00 น. เป็นต้นไป ทาง shop.bmw.co.th

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 รถยนต์อเนกประสงค์ Sports Activity Vehicle (SAV) ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่จะมาสร้างนิยามใหม่ให้แก่ประสบการณ์การขับขี่ด้วยพลังงานสะอาดในประเทศไทย สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยู iX นี้ มาในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport สร้างสุนทรียภาพการขับขี่แบบไร้มลพิษ พร้อมความคล่องตัวสไตล์สปอร์ต และดีไซน์สุดล้ำที่สื่อถึงความยั่งยืนในทุกอณู ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้าพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุด สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 630 กิโลเมตร ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยด้วยความโดดเด่นจากตระกูล X3 ที่ผสานความปราดเปรียวโฉบเฉี่ยวเข้ากับสมรรถนะอันทรงพลังของ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้า สำหรับลูกค้าในประเทศไทย สามารถจองบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ซึ่งมาในจำนวนจำกัดเพียง 20 คัน และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ที่มาให้ลูกค้าชาวไทยเป็นเจ้าของในจำนวนจำกัด ได้ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 14:00 น. เป็นต้นไป ผ่านช่องทางออนไลน์ทาง shop.bmw.co.th

จากซ้าย มร. กัลดริค ดอนเนอซาน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย, คุณปรีชา นินาทเกียรติกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย, มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน  บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย, คุณกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และคุณอนันตเดช อินทรวิศิษฎ์ ผู้จัดการธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย

มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “วันนี้เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เห็นวิสัยทัศน์ด้านยนตรกรรมไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูเป็นจริงด้วยการเปิดตัวครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยู iX โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา รถยนต์ในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู i เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมล้ำยุคของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู i8 และ i3 ที่เราได้เปิดตัวในประเทศไทยไปแล้วนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญเพื่อปูทางสู่นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม และในวันนี้ เราได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู iX ยนตรกรรมที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่พลังงานไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบ พร้อมเบิกทางสู่นวัตกรรมแห่งอนาคตและบริการดิจิทัลต่าง ๆ การพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX นั้น สอดแทรกปรัชญาด้วยความยั่งยืนของเราไว้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดสรรชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปจนถึงรูปลักษณ์การดีไซน์ ในขณะเดียวกัน เอกลักษณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ตปราดเปรียวของบีเอ็มดับเบิลยูนั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของบีเอ็มดับเบิลยู iX ซึ่งเป็นยนตรกรรมที่บุกเบิกเทคโนโลยีการขับขี่ล้ำยุคอีกมากมาย จึงนับเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่จะได้เปิดตัวรถยนต์ระดับเรือธงเช่นนี้แก่ลูกค้าชาวไทย”

“นอกจากบีเอ็มดับเบิลยู iX แล้ว วันนี้เรายังเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport เป็นครั้งแรก สมาชิกใหม่ในตระกูล X3 รุ่นนี้จะเข้ามาเติมเต็มกลยุทธ์ Power of Choice ของเราให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยนับจากนี้ไป บีเอ็มดับเบิลยู X3 จะเป็นยนตรกรรมที่พร้อมนำเสนอระบบขับเคลื่อนทั้งแบบเครื่องยนต์สันดาปภายในปลั๊กอินไฮบริด และพลังงานไฟฟ้าล้วน ซึ่งแม้ว่าจะขับขี่ด้วยพลังงานสะอาด แต่ยังคงเอกลักษณ์ความคล่องตัวแบบ SAV ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม เราเชื่อว่ารถยนต์ทั้งสองรุ่นใหม่นี้ จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเดินหน้าสู่อนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย และเป็นอีกหนึ่งก้าวสู่การสรรสร้างวิสัยทัศน์ของเราให้เป็นจริง”

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ใหม่

ราคาจำหน่าย: 5,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox สำหรับ 20 คันแรกเท่านั้น)

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

บีเอ็มดับเบิลยู iX มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมความล้ำยุคด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยิ่งขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลัง บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 385 กิโลวัตต์/523 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนตามมาตรฐาน WLTP สูงสุดถึง 630 กิโลเมตร สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 765 นิวตันเมตร ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ได้รับการติดตั้งควบคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อและเพิ่มความเสถียรภาพในการควบคุมรถยิ่งขึ้นอีกระดับ จึงโลดแล่นด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.6 วินาที

แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport มีความจุพลังงานรวม 111.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง หัวชาร์จแบบ Combined Charging Unit (CCU) ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบการชาร์จที่ยืดหยุ่น รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จจากเครื่องชาร์จ 100 กิโลวัตต์นั้น จะใช้เวลาราว 56 นาที ในการชาร์จจาก 10% ถึง 80%

ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) ช่วยเสริมประสิทธิภาพและระยะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบนำทางและเซนเซอร์จากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถเข้าใกล้ทางแยก ระดับการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความเร็วการขับขี่ลดลง และจะทำงานสลับกับฟังก์ชั่น Coasting ขณะขับขี่บนท้องถนน ซึ่งช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานเมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ โดยเมื่อเลือกขับขี่ด้วยเกียร์ B ระบบ Recuperation จะทำงานที่ระดับสูงสุดโดยอัตโนมัติเพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบ one-pedal feeling

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

โครงสร้างตัวถัง ปรัชญาการดีไซน์ และการออกแบบแชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู iX ได้รับการพัฒนาเพื่อหลอมรวมความสะดวกสบายเหนือระดับในการขับขี่และการควบคุมที่โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต โครงสร้างของบีเอ็มดับเบิลยู iX มาในวัสดุอลูมิเนียมแบบ spaceframe ส่วนหลังคามาในโครงสร้าง Carbon Cage ซึ่งประกอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณด้านข้างและด้านหลัง ผสานการใช้วัสดุสองประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเสริมทั้งความแข็งแกร่งและลดน้ำหนักให้เบาลงได้อย่างชาญฉลาด ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) ที่ต่ำเพียง 0.25 จากองค์ประกอบด้านอากาศพลศาสตร์ต่าง ๆ ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์และระยะการขับขี่ด้วยเช่นกัน แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง เมื่อประสานเข้ากับการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุลจึงทำให้ตอบสนองต่อการควบคุมได้ฉับไวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบการขับขี่ที่มีความสมดุลของบีเอ็มดับเบิลยู iX ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงและความสบายขณะขับขี่ ขณะที่ยังคงความคล่องตัวไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX ประกอบด้วย เพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็ว มาพร้อมระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) ล้อ aerodynamic ขนาด 22 นิ้ว แบบสลับสี ขัดเงาสามมิติ เสริมด้วยยางล้อลดเสียงรบกวนที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียงได้รับการติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)     

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของบีเอ็มดับเบิลยู iX คือดีไซน์ภายนอกที่มีเส้นสายในการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังมีความเรียบง่าย และคงความบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และประตูท้ายสอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถโดยไม่มีช่องว่าง

การออกแบบภายในห้องโดยสารมุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางและเบาะที่นั่งแบบใหม่พร้อมพนักพิงศีรษะเสริมความหรูหรายิ่งขึ้น มีพื้นที่วางขามากขึ้นเนื่องจากไม่ต้องมีท่อส่งน้ำมันกลางตัวรถ ซึ่งยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ คอนโซลกลางมาในดีไซน์เฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู ปุ่มควบคุมระบบสัมผัสและระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch เติมเต็มความทันสมัยยิ่งขึ้นภายในห้องโดยสาร พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display   

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติมาพร้อมฟิลเตอร์นาโนไฟเบอร์ที่สามารถกรองอากาศบริสุทธิ์ ควบคุมผ่านจอระบบสัมผัสแบบใหม่ ซึ่งใช้ควบคุมการหมุนเวียนของอากาศภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งและพวงมาลัย มาพร้อมตัวเลือกอุปกรณ์เสริมคุณภาพเสียงทรงพลังยิ่งขึ้น อย่างระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System ที่ฝังอยู่ในพนักพิงศีรษะ และระบบเสียงแบบ 4D ที่มีฟังก์ชั่นสั่นตามเสียงเบสในเบาะหน้า

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

นอกจากระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน บีเอ็มดับเบิลยู iX ยังมาพร้อมเสียงประกอบการขับขี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เติมเต็มความเร้าใจในการขับขี่ทุกครั้งที่เร่งความเร็ว ฟังก์ชั่นจำลองเสียงเครื่องยนต์ BMW IconicSounds Electric ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ยังมาพร้อมตัวเลือกเสียงใหม่ล่าสุดจากนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Hans Zimmer

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ยังมาพร้อมหน้าจอแสดงผลและระบบทำงาน iDrive เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในบีเอ็มดับเบิลยู iX ต่อยอดการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ที่ออกแบบสำหรับทำงานร่วมกับจอระบบสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display รองรับการโต้ตอบด้วยเสียงกับ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งได้รับการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้า โดยจอ BMW Curved Display เป็นกลุ่มจอแสดงผลดิจิทัลซึ่งประกอบไปด้วย จอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้วและจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว รวมเข้าด้วยกันภายใต้แผงกระจกชิ้นเดียวที่หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ดิจิทัลมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และแสดงกราฟฟิกดีไซน์ใหม่ขณะสื่อสารกับผู้ใช้งาน ระบบ My Modes ใหม่ ขยายการตั้งค่าต่าง ๆ ของรถยนต์ให้ครอบคลุมประสบการณ์ขับขี่ทุกรูปแบบ

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

บีเอ็มดับเบิลยู iX ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลายที่สุด เหนือกว่ารถยนต์ทุกรุ่นจากบีเอ็มดับเบิลยู มาพร้อมเซนเซอร์เจเนอเรชั่นใหม่ ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Steering and Lane Control Assistant ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go รวมถึงระบบที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานอย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ซึ่งประกอบด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถให้เห็นแบบสามมิติผ่านระบบ Remote 3D

กระบวนการผลิตบีเอ็มดับเบิลยู iX ยังครอบคลุมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้อลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการหล่อและนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในปริมาณมาก ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยวัสดุไม้ที่รับรองจาก FSC หนังฟอกด้วยสารสกัดจากใบมะกอก และยังมีส่วนประกอบจากธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย และยังใช้แหจับปลาที่ผ่านการรีไซเคิลเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับผลิตพรมปูพื้นรถอีกด้วย

ลูกค้าสามารถเลือกสีตัวถังได้ถึง 6 สไตล์ตามความต้องการ ได้แก่ Aventurin Red, Black Sapphire, Mineral White, Phytonic Blue, Sophisto Grey และ Storm Bay

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ใหม่

ราคาจำหน่าย: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard
นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox จำนวนจำกัด)

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport มาพร้อมเอกลักษณ์สุดล้ำ ประสานประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับความหนาแน่นและความจุพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่แรงดันสูง มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เทคโนโลยีการชาร์จ และแบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุด ที่ได้รับการยกระดับในด้านสมรรถนะการทำงาน การใช้พลังงานไฟฟ้า และระยะทางในการขับขี่ อีกทั้งยังเพิ่มความหนาแน่นและศักยภาพของกำลังไฟฟ้าด้วยการรวมมอเตอร์ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเกียร์ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน เช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู iX

ระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ในบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ส่งพละกำลังสูงสุด 210 กิโลวัตต์/286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่น ๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับขี่สนุกอย่างอุ่นใจด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ปริมาตรความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่การติดตั้งและน้ำหนัก ส่วนความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อขับเคลื่อนให้บีเอ็มดับเบิลยู iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC

เทคโนโลยีระบบชาร์จใหม่ล่าสุดเติมพลังงานสู่แบตเตอรี่ 400 โวลต์ และแหล่งจ่ายไฟ 12 โวลต์แก่อุปกรณ์ต่างๆ ในรถ หากใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จด้วยแรงดันนี้ บีเอ็มดับเบิลยู iX3 ยังรองรับการชาร์จจาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ได้ภายใน 34 นาที เพิ่มระยะทางการวิ่งถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 10 นาที (ตามมาตรฐาน WLTP)

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport มาพร้อมระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) เพิ่มสมรรถนะและความสะดวกสบายระหว่างการขับขี่ ระดับการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่จะแปรผันตามสภาวะถนน ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลในระบบนำทางและเซนเซอร์ในระบบช่วงเหลือผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ เมื่อเข้าเกียร์ D และระบบ Recuperation จะทำงานอัตโนมัติในระดับสูงเมื่อเข้าเกียร์ B เพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่ยนตรกรรมไฟฟ้าอันเฉพาะตัวของบีเอ็มดับเบิลยู

แบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุดนี้ติดตั้งอยู่ใต้ตัวรถ จึงช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงลงประมาณ 7.5 เซนติเมตร เมื่อเทียบกับ X3 รุ่นอื่น ๆ ระบบช่วงล่างแบบ Adaptive ปรับระดับด้วยไฟฟ้าตามสภาพถนนและสภาวะการขับขี่

รูปโฉมภายนอกของบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ยังคงสัดส่วนที่โฉบเฉี่ยวสไตล์ SAV มาพร้อมความแข็งแกร่งระดับพรีเมียมและความอเนกประสงค์ของตระกูล X โดดเด่นด้วยองค์ประกอบการดีไซน์เฉพาะรุ่นอย่างชิ้นส่วนแอโรไดนามิกส์ต่าง ๆ สอดแทรกด้วยดีไซน์ที่สื่อถึงความยั่งยืน กระโปรงหน้าและกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่มาในดีไซน์ปิดทึบ ท้ายรถมาพร้อมการออกแบบเพื่อลดแรงต้านอากาศ

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

ไฮไลท์ของบีเอ็มดับเบิลยู iX3 ยังอยู่ที่ความหลากหลายในการใช้งาน มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางกว่า X3 รุ่นอื่น ๆ เบาะหลังพับได้แบบ 40 : 20 : 40  ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาตรการบรรจุสัมภาระจาก 510 ถึง 1,560 ลิตร เสริมความเอ็กซ์คลุซีฟด้วยระบบเสียง BMW IconicSounds Electric ซึ่งมาเป็นมาตรฐาน สร้างทำนองเสียงไม่ซ้ำใครเมื่อสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์จากผลงานของ Hans Zimmer มาพร้อมล้อ M aerodynamic ขนาด 20 นิ้วแบบสลับสี ที่เสริมประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์ยิ่งขึ้น ไฟหน้า Adaptive LED เสริมฉนวนกันเสียงที่ประตูหน้า และยังมีอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อเสริมความสะดวกสบายแบบพรีเมียมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบปลดล็อกประตู Comfort Access เบาะหนัง Vernasca ตอนหน้าดีไซน์แบบสปอร์ต จอ BMW Head-Up Display ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัยแบบเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้นด้วยระบบ BMW gesture control ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon และ WiFi hotspot พร้อมด้วยระบบ BMW Live Cockpit Professional พร้อมระบบนำทางที่ดึงข้อมูลจากระบบคลาวด์ BMW Maps และ BMW Intelligent Personal Assistant

บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport มาให้เลือกใน 5 สี ได้แก่ Carbon Black, Mineral White, Phytonic Blue, Piemont Red และ Sophisto Grey

(ภาพสำหรับใช้ประกอบข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น)

โปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ BMW Services Inclusive (BSI) สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน

รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จากบีเอ็มดับเบิลยูทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมาพร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BMW Service Inclusive (BSI) รูปแบบใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะสมต่อการดูแลบำรุงรักษาระบบต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดยมีแพ็คเกจมานำเสนอใน 2 ทางเลือก ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ดังนี้

การดูแลบำรุงรักษารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน จะมีกำหนดเข้ารับบริการทุก 24 เดือน โดยครอบคลุมรายการต่างๆ ดังนี้

  • บริการตรวจเช็ครถ
  • บริการเปลี่ยนไมโครฟิลเตอร์
  • บริการเปลี่ยนน้ำมันเบรก
  • บริการชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงหลังการให้บริการ (ชาร์จสูงสุด 75%-80%)
  • บริการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน (ปีละหนึ่งครั้ง)
  • บริการเปลี่ยนชุดเบรคหน้าและหลัง 1 ชุด รวมผ้าเบรกและจานเบรก (กำหนดการเปลี่ยนไม่ขึ้นอยู่กับระยะทาง)
ข้อเสนอพิเศษสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport 

สำหรับลูกค้าที่จองรถบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport และ iX3 M Sport พร้อมแพ็คเกจ BSI Standard ผ่านช่องทางออนไลน์ และทำสัญญาทางการเงินแบบเช่าซื้อแบบมีบอลลูน* กับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย และรับรถภายใน 31 ธันวาคม 2564 รับฟรีประกันภัยชั้น 1 BMW Protect นาน 1 ปี** 

*เงินดาวน์ 35% ยอดบอลลูนสุดท้ายที่ 35% และระยะเวลาผ่อนชำระ 60 เดือน สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ผ่อนชำระเริ่มต้นที่ 51,999 บาท/เดือน และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ผ่อนชำระเริ่มต้นที่ 29,999 บาท/เดือน 

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด 

ลูกค้าที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วประเทศ