Test Drive ALL-NEW FORD Focus

Test Drive ALL-NEW FORD Focus

FORD เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สามารถคิดค้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเกี่ยวกับรถยนต์ออกมาอยู่เสมอๆ แต่ส่วนใหญ่มักจะขายไปใส่อยู่ในรถยนต์ค่ายอื่นๆ แต่หลังจากปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา FORD สามารถสร้างความฮือฮากระตุ้นยอดขายให้กับตลาดรถกระบะ 1 ตัน สำเร็จมาแล้ว จนมาถึงครั้งนี้ FORD ได้ส่ง ALL-NEW Focus ที่ชูจุดแข็งทั้งด้านความชาญฉลาด รักษ์สิ่งแวดล้อม คุณภาพเป็นเลิศ และความปลอดภัยเป็นเยี่ยม แต่จะจริงดังคำที่เค้าว่าหรือไม่นั้น ตามไปพิสูจน์พร้อมๆ กันกับผมที่ จ. กระบี่ครับ

 

รู้จักALL-NEW Focus 
 

เริ่มการทดสอบครั้งนี้กันที่โรงแรม Sheraton จ. กระบี่ เรียนรู้ผลิตภัณฑ์ ALL-NEW Focus แบบเข้มข้นกันถึง 3 ชม. โดยวิศวกรผู้ออกแบบ ALL-NEW Focus บินตรงมาให้ข้อมูลด้วยตนเอง เพราะในการทดสอบครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแต่นักข่าวไทยเท่านั้น แต่ยังมีนักข่าวจากภาคพื้นเอเซียมาร่วมด้วย เจ้า ALL-NEW Focus มีมาให้เลือกสองแบบ Hatchback 5 Door และ Sedan 4 Door ส่วนเครื่องยนต์มี 2 พิกัด คือ 2.0 L กับ 1.6 L แบ่งเป็นรุ่นย่อยทั้งหมด 9 รุ่น ราคาเริ่มตั้งแต่ 759,000 – 1,079,000 บาท ผมขอเล่าจุดเด่นในแต่ละด้านก่อนดีกว่าครับ ขอเริ่มจากจุดเด่นด้านความชาญฉลาดก่อนดีกว่า “Active Park Assist” หรือระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบนี้จะช่วยคุณตั้งแต่การค้นหน้าที่จอดรถ เพียงคุณกดปุ่มที่คอนโซลกลาง ระบบจะใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับหาที่จอดรถที่มีความกว้างกว่าตัวรถ 1.2 เท่า พอเซ็นเซอร์หาที่จอดได้ จะมีคำสั่งขึ้นที่หน้าจอแสดงผลให้คุณหยุดรถ หลังจากนั้นเข้าเกียร์ “ R ” เพื่อถอยหลังเข้าจอด แต่ในช่วงที่ถอยคุณปล่อยมือจากพวงมาลัยได้เลย ควบคุมแต่เบรคเท่านั้น ระบบจะหมุนพวงมาลัยให้เอง พร้อมทั้งมีเสียงเตือนและสัญลักษณ์บนหน้าจอให้เบรค รวมถึงใส่เกียร์ “D” เพื่อเดินหน้าในรถเข้าช่องจอดแบบง่ายๆ ซึ่งสามารถจอดได้ทั้งด้านขวาและซ้าย จากที่ผมได้ลองทดสอบใช้งานง่ายจริงๆ ระยะห่างจากขอบฟุตบาทถึงตัวรถ เวลาจอดเสร็จระยะห่างก็ประมาณ 30 ซม. ครับ
 

ต่อมาเป็น “Active City Stop” หรือระบบช่วยเบรคในความเร็วต่ำ ระบบนี้จะทำหน้าช่วยคุณเบรคอัตโนมัติในความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. ระบบนี้ดีอย่างไรต่อผู้ขับขี่ ผมยกตัวอย่างเช่น เวลาเราเผลอก้มหยิบของในรถขณะรถเคลื่อนตัวช้าๆ หากรถคันหน้าเกิดเบรคกระทันหัน แต่เราละสายตาจากคันหน้าพอดี ระบบนี้จะเบรคให้คุณเองประมาณ 3 วินาที ซึ่งเพียงพอกับการที่เราจะเหยียบเบรคซ้ำลงไปด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้ดีครับ จากที่ผมลองทดสอบระบบระยะห่างจากตัวรถกับคันหน้าจะห่างประมาณ 30 ซม.ครับ

 

 

“Blind Spot Information System” หรือระบบตรวจจับรถในจุดบอด อย่างที่ทราบกันว่าเวลาเรามองกระจกมองข้าง เพื่อจะเปลี่ยนเลน ถ้ามีรถอยู่ข้างๆ เราแบบใกล้มากๆ เราจะไม่เห็นจากกระจกมองข้าง ที่เราเรียกว่า “จุดบอด” ระบบนี้เข้ามาช่วยแก้ไขในจุดนี้ โดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับรถที่วิ่งมาข้างๆ ทั้งด้านซ้าย-ขวา โดยใช้สัญลักษณ์ “ไฟสีส้ม” ขึ้นที่กระจกมองข้างเมื่อมีรถอยู่ด้านข้างครับ ทำให้ง่ายและปลอดภัยในการเปลี่ยนเลน
 

“Drive Connected” หรือ ระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร ที่เรียกว่า “FORD SYNC” ซึ่งเป็นการร่วมมือในการพัฒนาระหว่าง FORD และ Microsoft ระบบนี้สามารถเชื่อมต่อมือถือทุกระบบ และอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆ ผ่าน BlueTooth หรือ ช่อง USB ที่อยู่ในที่เก็บของด้านคนนั่ง ซึ่งสามารถสั่งงานได้ด้วยเสียง โดยกดปุ่มที่พวงมาลัย แล้วสั่งงานด้วยเสียงของคุณ เช่น “Play Bodyslam” ระบบก็จะเลือกเพลงของวง Bodysalm ที่มีการเชื่อมต่อเอาไว้ขึ้นมาให้ ในส่วนของการสั่งงานมือถือก็สามารถสั่งงานง่าย เช่น ต้องการโทรหาใครก็แค่ “Call ตามด้วยชื่อเช่น Bright” รวมถึงเมื่อมี Message เข้ามา หากเป็นภาษาอังกฤษก็สามารถสั่งงานให้ระบบอ่านให้ฟังได้เลยไม่ต้องละสายตามากดอ่านที่มือถือ นอกจากนี้ยังมี ปุ่มสตาร์ทอัตโนมัติ, กุญแจรีโมทอัจฉริยะ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกส่วน, ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และระบบควบคุมความเร็ว (Cruise Control) ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ เป็นเพียงแค่รายละเอียดบางส่วนเท่านั้น มาดูต่อในส่วนอื่นกันดีกว่าครับ
 

 

ด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มจากการออกแบบตัวรถให้มีหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุด ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานเพียง 0.298 ถ้านำมาเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมจะดีกว่าถึง 15% จุดเด่นของการออกแบบอีกจุด คือ ระบบกระจังหน้าด้านล่างสามารถเปิด-ปิดอัตโนมัติ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้ารถวิ่งในความเร็วต่ำกระจังหน้าจะเปิดเพื่อให้ลมผ่านเข้ามาช่วยลดความร้อนของเครื่องยนต์ ถ้าในความเร็วสูงกระจังหน้าจะปิดลง เพื่อลดแรงต้านของอากาศ เพื่อให้รถสามารถแวกอากาศได้ดีขึ้น ทั้งหมดจะคำนวนจากค่าความร้อน รอบเครื่องยนต์ ความเร็ว เพื่อนำมาประมวลผลที่กล่อง ECU ทั้งหมดนี้เป็นการช่วยลดการใช้เชื้อเพลิง ต่อมาเป็นเรื่องของกระบวนพ่นสีแบบ Three-Wet High Solids คือ การพ่นสี 3 ชั้น ก่อนนำเข้าเตาอบในครั้งเดียวเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานของโรงงานลง และได้คุณภาพของสีที่ดีขึ้นด้วย

เครื่องยนต์ผมขอพูดถึงแต่รุ่น 2.0 ลิตรนะครับ เพราะได้ทดสอบเพียงรุ่นเดียว เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 170 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตัน-เมตร มีจุดเด่นที่ระบบ Gasoline Direct Injection ซึ่งเป็นหัวฉีดแรงดันสูงแบบ 6 รู ฉีดเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง ทำให้การสั่งจ่ายเชื้อเพลิงแม่นยำ ลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ไม่จำเป็นลง ทำให้สมรรถนะดีขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้นด้วย ต่อมาเป็น “Ti-VCT Technology” หรือ ระบบแปรผันแคมชาฟท์แบบอิสระคู่ ระยะการเปิด-ปิดของวาล์วแบบแปรผัน ช่วยให้แรงบิดในรอบต่ำดีขึ้น รวมถึงลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่น้อยลง และรองรับ E20 

 

 

ระบบส่งกำลัง “Powershift Automatic Transmission” ซึ่งมุ่งเน้นความนิ่มนวลและประหยัดเชื้อเพลิง พร้อมทั้งมี “Select Shift” สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวคุณเอง

ในด้านคุณภาพ เริ่มจากโครงสร้างตัวถังที่ใช้เหล็กแข็งพิเศษถึง 55% ติดตั้งเหล็กกันโคลงหน้าเพิ่มลดการบิดตัวของตัวถัง ต่อมาเป็นเรื่องวัสดุที่ใช้ 80% ใช้กระบวนการผลิตเช่นเดียวกับยนตกรรมระดับโลก ที่เหลือในด้านคุณภาพเป็นเรื่องของความพอใจในการขับขี่ ซึ่งมีองค์ประกอบหลายส่วนมาก เช่น ระบบกระจายแรงบิดลง 2 ล้อหน้า การยึดเกาะในโค้งที่ดีเยี่ยม ฯลฯ

ด้านความปลอดภัยนอกจากที่มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีการแบ่งโครงสร้างการชนออกเป็น 3 ส่วน คือ คานหน้าทำจากเหล็กโบรอนช่วยดูดซับแรงกระแทก รางเหล็กรูป “ปืนสั้น” ช่วยส่งแรงกระแทกไปยังหลังคา และแท่นเครื่องแยกส่วนช่วยลดแรงเข้าห้องโดยสาร อีกส่วน คือ ถุงลมนิรภัยรูปแบบใหม่ ที่มีลักษณะการเว้าตรงส่วนหน้าอก เพื่อลดแรงกระแทกในส่วนของหน้าอก รวมถึงม่านถุงลมนิรภัยที่พองมาจากขอบหลังคา ส่วนลดแรงกระแทกระหว่างศรีษะกับด้านข้างห้องโดยสาร ที่ผมเล่ามายาวเยียดต้องบอกว่ายังไม่ครบทั้งหมดนะครับ เพียงแต่ดึงจุดที่เด่นออกมาให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกันเท่านั้น

 

 

 

GO!!! Test Drive
 

หลังจากที่นั่งฟังบรรยายมาครึ่งวันเต็มๆ เช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นการ Test Drive จริงๆ สักที โดยผมใช้ ALL-NEW Focus 2.0 L Ti-VCT GDi สปอร์ต พลัส ซึ่งเป็นตัว TOP สุดในรุ่น 4 ประตู เมื่อออกเดินทางความรู้สึกที่ผมมีต่อเบาะนั่งถือว่าเป็นเบาะกึ่งสปอร์ตที่กระชับร่างกายเราได้ดี แต่ที่ดีกว่านั้น คือ ความนิ่มนวลที่เบาะมีให้ ทัศนะวิสัยที่ชัดเจน ในส่วนของพวงมาลัยแบบ 4 ก้าน จับถนัดมือดี ปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมออฟชั่นบนพวงมาลัยมากมาย เช่น ควบคุมเครื่องเสียง ควบคุมระบบสั่งงานด้วยเสียง ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ควบคุมหน้าจอ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความรำคานในการขับขี่ ในช่วงแรกที่ผมขับยังไม่ได้ทดสอบสมรรถนะของรถเท่าไรนัก มัวแต่มุ่งเน้นไปที่ระบบ “SYNC” มากกว่า เพราะต้องบอกว่า กว่าที่ผมจะสั่งงานได้อย่างคล่องแคล่ว ก็ใช้เวลาไปเกือบ 15 นาทีแล้ว เพราะบางทีเราต้องใช้คำพูดให้ถูกต้อง พูดให้เป็นจังหวะ แต่พอคุณคุยกับ “SYNC” รู้เรื่องผมรับรองว่าเป็นอีกระบบที่ใช้งานไม่ยากเลยครับ
 

ในเรื่องความสวยงามในการออกแบบภายในถือว่าลงตัวและดูทันสมัยไม่น้อย ฟังค์ชั่นการใช้ง่ายๆ สะดวกดี แต่จะของติอยู่หนึ่งจุดคือ “Select Shift” ที่อยู่ตรงข้างหัวเกียร์ ถ้าคุณเป็นคนทีใส่เกียร์ “D” เหยียบคันเร่งอย่างเดียวคงไม่รู้สึกอะไร แต่คนซนๆ แบบผมชอบมากที่จะเปลี่ยนเกียร์เอง เวลาใช้ความเร็วสูง หรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เพราะการเปลี่ยนเกียร์เองจะเข้ามามีส่วนช่วยในการเรียกใช้ “Engine Brake” เหมือนการเชนเกียร์นั่นเอง แต่เจ้า “Select Shift” เวลาใช้ข้อศอกจะติดที่เท้าแขนตลอด จึงมีความรู้สึกไม่ค่อยสะดวกมากนักสำหรับผม 

 

 

ส่วนในเรื่องของสมรรถนะต้องบอกว่าในพิกัด 2.0 ลิตรในท้องตลาดเมืองไทยไม่เป็นลองใคร ความเร็วปลายที่ผมทำได้อยู่ราวๆ 210 กม./ชม. ซึ่งน่าจะขึ้นไปได้อีก แต่ระหว่างการทดสอบฝนตกตลอดทาง ทำให้การขับเร็วกว่านี้มันจะอันตรายเกินไป แต่ที่น่าสนใจในเรื่องของอัตราเร่ง คือ ความเร็วที่ไหลขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนแตะ 200 กม./ชม. อัตราการใช้เชื้อเพลิง ราวๆ 14.9 กม./ลิตร ระบบส่งกำลัง Powershift Automatic Transmission ที่มีการพัฒนามาใหม่ นิ่มนวล และต่อเนื่องกว่าเดิม ระยะเวลาการเปลี่ยนเกียร์ก็เร็วขึ้นมาก ส่วนระบบช่วงล่างปกติจะเป็นจุดแข็งอยู่แล้ว แต่พอเซ็ตอัพใหม่ ให้น้ำหนักพวงมาลัยที่เหมาะสมกันทุกช่วงความเร็ว บวกกับระบบ Torque Vectoring Control ซึ่งทำงานคล้ายกับลิมิเต็ด สลิป ช่วยควบคุมในการกระจายแรงบิดสู่ล้อหน้าซ้าย-ขวา พร้อมทั้งควบคุมการส่งแรงเบรคไปยังล้อหน้า ช่วยให้เวลาเข้าโค้งเกิดเสถียรภาพที่ดีมากขึ้น ทั้งๆขณะที่ ผมทดสอบฝนตกถนนลื่นมากๆ ขบวนรถทดสอบยังสามารถผ่านโค้งขึ้นลงเขาด้วยความเร็วได้ทุกคันแบบสบายๆ รวมถึงคันของผมด้วย
 

ถ้าจะถามผมว่าประทับใจอะไรในรถคันนี้ อย่างแรกเลย คือ เทคโนโลยีที่มากขึ้น และฟังค์ชั่นต่างๆก็สามารถใช้งานในชีวิตประจำได้จริง ทำให้การขับขี่ของผมง่ายขึ้น เช่น จอดรถเทียบข้างได้เอง สั่งงานด้วยเสียง ต่อมาคงเป็นเรื่องของความเร้าใจที่เครื่องยนต์ 2.0 L อีกส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ ช่วงล่างเรื่องนี้ของเค้าดีจริง ที่สำคัญทั้งหมดนี้มาในราคาที่เอื้อมถึง แต่สิ่งที่กังวลในการตัดสินใจ คือ บริการหลังการขายในความรู้สึกผม ทาง FORD ก็เลยการันตี คุณภาพรถให้ 3 ปี/ 100,000 กม. ระยะเวลาเข้าบริการทุกๆ 15,000 กม. / 9 เดือน ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายลง และยังแถมโปรแกรมจัดส่งอะไหล่ภายใน 24 ชม. ถ้ามาไม่ทันในเวลาที่กำหนด ลูกค้าจะได้รับอะไหล่ชิ้นนั้นฟรี ซึ่งน่าสนใจมากสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา เรื่องสุดท้าย คือ ราคาขายต่อ เรื่องนี้ผมไม่ห่วงเพราะถ้า FORD ปรับปรุงศูนย์บริการให้มีมาตราฐานและมีมากขึ้น อะไหล่หาได้ง่ายขึ้นในเวลา 24 ชม. ราคาการขายต่อหรือมือสองก็จะดีขึ้นเอง เพราะมีผู้บริโภคมีความต้องการและไว้วางใจมากขึ้น
 

สุดท้ายต้องขอบพระคุณ FORD ที่ให้เกียรติ iAMCAR VARIETY E-MAGAZINE & www.iamcar.net ได้ร่วมกิจกรรมดีๆ เช่นนี้เสมอมาครับ

GALLERY

{phocagallery view=category|categoryid=570|limitstart=0|limitcount=0} 

Clip Test Drive

Test Drive ALL-NEW FORD Focus

iAMCAR VARIETY E-MAGAZINE


ตารางราคารถยนต์ล่าสุด

AUDI | Aston Martin | BMW | Chevrolet | CITROEN |  DFSKFerrari | Honda (ฮอนด้า) |