มร.เคียวอิจิ ทานาดะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น / กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์เซลส์ / กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง / กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย มร. โซอิชิโระ โอคุไดระ เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น / ประธานบริหารด้านเทคนิค ประจำภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนีย และจีน และนายสุรพงษ์ ตินนังวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง ร่วมเปิดงานเยี่ยมชม บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง เป็นครั้งแรกแก่สื่อมวลชน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2558 ณ สำนักงานใหญ่ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ  

Continue reading ““TMAP-EM” ยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค สู่มาตรฐานระดับโลก”

toyota

ได้รับรางวัล “สถานประกอบการอุตสาหกรรมดีเด่น 2011 ครั้งที่ 1” (1st Good Factory Awards 2011)
Continue reading “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TMAP-EM)”

อาวดี้เดินหน้าขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า Electrify Models เพิ่มทางเลือกซีดานปลั๊กอินไฮบริดพร้อมกัน 2 รุ่น

นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ อาวดี้ ประเทศไทย กล่าวถึง “กลยุทธ์ “Electrify Model” ของ Audi “e-tron” คือ รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% ในขณะที่รุ่นปลั๊กอินไฮบริดจะอยู่ภายใต้หัวข้อ “TFSI e” ซึ่งเป็นการผสมผสานความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีของ Audi ด้วยการนำข้อดีของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแบบสันดาปมารวมกัน จุดเด่นของอาวดี้ปลั๊กอินไฮบริด คือ Electric Drive การติดตั้งไดรฟ์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ขนาดกะทัดรัดสำหรับการเดินทางในระยะทางสั้น เสริมด้วยพละกำลังเครื่องยนต์สันดาปสำหรับการเดินทางระยะไกล รถปลั๊กอินไฮบริดผสมผสานเทคโนโลยีการขับเคลื่อนสองเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของอาวดี้เข้าด้วยกัน ทางเลือกที่ลงตัวตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน นอกจากช่วยบริหารจัดการเรื่องการชาร์จไฟฟ้าให้สะดวกสบายแล้ว ที่สำคัญยังคงไว้ซึ่งประสบการณ์ขับขี่อันสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับของอาวดี้”

“อาวดี้ พลิกโฉมสู่การเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่ออาวดี้กำลังสร้างโลกใหม่แห่งการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้า การพัฒนา Ecosystem อย่างเต็มรูปแบบ เข้ากับประสบการณ์มากกว่า 100 ปี ในการสร้างรถยนต์ระดับพรีเมียม ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมพร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ แผนการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและข่าวการเปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้า 100% เต็มรูปแบบกว่า 10 รุ่น ออกสู่ตลาดภายในปี 2026 รวมไปถึงแผนการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องของกลุ่มรถไฟฟ้า 100% และรถปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นเซกเมนต์รถสปอร์ต หรูหรา หรือขนาดกะทัดรัดใช้งานในเมือง สำหรับ อาวดี้ วิสัยทัศน์ของการเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม (e-roadmap) นั้นเป็นมากกว่าการผลิตรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แต่ถูกสะท้อนผ่านกลยุทธ์องค์กร การวางแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 28 พันล้านยูโร (€28 billion) แผนปฏิบัติการ 360 องศา ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการรองรับ ตลอดจนสายการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบรถพลังงานไฟฟ้า 100% และรถปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่น” นายกฤษณะกรกล่าวปิดท้าย

Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S Line

สัมผัสประสบการณ์การเดินทางแบบFirst Class กับAudi A8 L TFSI e ซีดานปลั๊กอินไฮบริดสุดหรูดีไซน์โดดเด่นสปอร์ตพรีเมียมทรงพลังสง่างามเหนือระดับพร้อมเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าขั้นสูงเพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันนวัตกรรมระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน ภายในห้องโดยสารสร้างประสบการณ์อันไร้ที่ติในทุกการเดินทาง ที่เพิ่มความสะดวกสบายผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นสามารถควบคุมการใช้งานภายในรถได้จากด้านหลังด้วยหน้าจอส่วนตัวพร้อมจอOLED แบบสัมผัสขนาด5.7 นิ้วเบาะหลังแยกซ้ายขวาออกจากกันให้ความเป็นส่วนตัวพร้อมที่พักเท้าแบบอุ่นร้อนและฟังก์ชันนวดเท้าหลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าม่านบังแดดปรับไฟฟ้าสำหรับกระจกด้านหลังและกระจกข้างด้านหลังเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวไฟอ่านหนังสือภายในแบบMatrix LED เพื่อความสะดวกสบายในการมองเห็นภายในรถ

Electrifying experience

Audi A8 L 60 TFSI e quattro ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ให้ความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร / ชั่วโมง และระยะการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 52 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จด้วยไฟ 220 โวลต์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง

เครื่อง V6 3.0 TFSI ให้กำลังสูงสุดถึง 340 แรงม้า ทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุดถึง 136 แรงม้า ระบบเกียร์ Tiptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ให้กำลังสูงสุด 462 แรงม้า เร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายใน 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร / ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 2.3 ลิตร / 100 กิโลเมตร

Driving modes

ปลั๊กอินไฮบริดของ Audi นั้นมาพร้อมกับการขับขี่ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ EV Mode, Battery Hold, Battery Charge, และ Hybrid รถจะทำงานแบบคาดการณ์ล่วงหน้าและถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเริ่มการใช้ระบบนำทาง MMI Navigation plus with MMI touch response การชาร์จแบตเตอรี่ทำได้อย่างชาญฉลาดและปรับให้เหมาะสมต่อการขับขี่ตลอดเส้นทาง รถจะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักเมื่ออยู่ในตัวเมืองและในการจราจรที่แน่นหนา โดยทั่วไปแล้วระบบจะคำนวณการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด และใช้แบตเตอรี่ที่มีอยู่ให้หมดเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง

  1. EV Mode รถจะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่คนขับไม่เหยียบคันเร่งเกินที่กำหนดไว้
  2. Battery Hold ระบบจัดการการขับขี่จะรักษาความจุของแบตเตอรี่ไว้ที่ระดับปัจจุบันที่คงเหลือ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถครอบคลุมระยะทางที่กำหนดในภายหลังด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
  3. Battery Charge ระบบจะจัดการการขับขี่โดยสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนการใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบในพื้นที่ที่ต้องการได้
  4. Hybrid จะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติพร้อมกับระบบนำทาง หรือคนขับสามารถเลือกใช้ปุ่มโหมดการทำงาน โดยในโหมดนี้จะทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปอย่างลงตัว เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงให้ได้น้อยที่สุด โดยรถจะเน้นการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก เช่น การจราจรที่ติดขัด ระบบไฟฟ้าจะทำงานเป็นส่วนใหญ่ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Recuperation ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ สถานการณ์ สภาพถนน และการขับขี่

ระบบความปลอดภัยแบบครบครัน

  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic) ระบบจะประเมินสถานการณ์การขับขี่ จากการทำงานของเซ็นเซอร์ภายใต้ระบบควบคุมการทรงตัว ESC เรดาร์เซ็นเซอร์บริเวณด้านท้ายรถ หรือการเหยียบแป้นเบรกอย่างรุนแรง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ นอกจากนั้นแล้ว หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิคถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) เรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านท้ายรถจะประเมินสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิคถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
  • ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) เรดาร์เซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง ที่อยู่ด้านท้ายของตัวรถจะช่วยผู้ขับขี่ในการตรวจสอบสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง เมื่อระบบประเมินว่ารถอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเลน ระบบจะแสดงสัญญาณเตือนขึ้นที่กระจกมองข้าง ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อตั้งใจเปลี่ยนเลนไปยังทิศทางดังกล่าว สัญญาณเตือนจะกระพริบถี่ขึ้น
  • ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ขณะที่รถจอดหยุดนิ่ง ระบบจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งด้านข้างและด้านหลัง ทั้งนี้ในกรณีที่ตรวจพบยานพาหนะที่เคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย เช่น รถยนต์ หรือ รถจักรยาน กำลังเคลื่อนเข้ามาจากด้านหลัง ในขณะที่ผู้โดยสารภายในรถกำลังเปิดประตูจากด้านใน สัญญาณไฟเตือนจะปรากฏขึ้น
  • ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist) ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ขณะถอยรถออก หากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้วพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดทอนการเกิดอุบัติเหตุ

Regenerative power

เมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบลอยตัว ตัวรถจะทำการชาร์จไฟกลับสู่แบตเตอรี่ด้วยระบบ Coasting Recuperation โดยระบบนี้จะสามารถคืนพลังงานไฟฟ้าให้กับรถได้มากถึง 25 กิโลวัตต์ นอกจากนั้นในขณะที่ผู้ขับขี่ทำการเบรก Audi A8 L 60 TFSI e quattro จะสามารถคืนพลังงานเข้าแบตเตอรี่ได้สูงสุดถึง 80 กิโลวัตต์ ด้วยระบบ Brake recuperation โดยมีหน้าจอ Virtual Cockpit และระบบ MMI หน้าจอระบบสัมผัสที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างหลากหลาย เช่น มาตราวัดกำลัง ระยะทาง หรือพลังงานในปัจจุบันของระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อจะได้เลือกการขับขี่ได้อย่างถูกต้อง

Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line มาพร้อมกับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น ดีไซน์การตกแต่งของเบาะนั่งภายในดูสปอร์ตมากขึ้นด้วยลาย Diamond cut ทั้งยังเพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มาอย่างครบครันในราคาที่ถูกลงมากกว่า 1 ล้านบาท เปิดให้จองแล้วในราคา 7,199,000 บาท

สีภายนอกมีให้เลือกไม่ว่าจะเป็น Metallic Glacier White, Metallic Mythos Black, Metallic Floret Silver และ 2 สีใหม่ Metallic Firmament Blue, Metallic District Green สีภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี คือ Cognac Brown และ Black

Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro

Gran Turismo 4 ประตู พร้อมระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริดที่ทรงพลัง หนึ่งเดียวในเซกเมนต์ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ultra technology พร้อมเทคโนโลยีที่ให้ความไดนามิกในการขับขี่ เกาะถนนได้ดีเยี่ยม กำลังขับรวมได้สูงถึง 367 แรงม้า ความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง เพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กิโลเมตร / ชั่วโมง (ในโหมดไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร / ชั่วโมง และระยะทางวิ่งไกลสุดอ้างอิงตามผลการทดสอบมาตรฐาน WLTP ถึง 69 กิโลเมตร) พร้อมชุดแต่ง S line

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบชาร์จขนาด 2 ลิตร ให้กำลัง 265 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ S tronic 7 จังหวะ

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถเก็บพลังงานได้ถึง 17.9 กิโลวัตต์ / ชั่วโมง พร้อมระบบ Recuperation ที่สร้างพลังงานไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่ขณะขับขี่ ทรงรถ Gran Turismo 4 ประตู หนึ่งเดียวในเซกเมนต์พรีเมียมที่นำเสนอระบบปลั๊กอินไฮบริดพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro

การขับขี่ของ A7 Sportback 55 TFSI e quattro ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ในทุกๆวัน ไม่ว่าจะอยู่ในตัวเมืองหรือการเดินทางระยะทางไกล การผสมผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาป มอบประสบการณ์การขับขี่ที่คล่องตัวและสปอร์ตในคันเดียว ด้วยโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันทั้ง 4 โหมด รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดนี้จึงใช้งานง่ายและเหมาะกับทุกการใช้งานในชีวิตประจำวัน

ระบบชาร์จที่มาพร้อมกับ Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro เป็นมาตรฐาน หัวชาร์จแบบ Type 2 สำหรับใช้กับเครื่องชาร์จสาธารณะ พร้อมแท่นชาร์จ Compact Charger ที่ใช้สำหรับการชาร์จไฟบ้านและอุตสาหกรรมระบบจะมีการแสดงสถานะ LED เพื่อความปลอดภัย รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้านขนาด 220 โวลต์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่เปล่าให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง

รูปลักษณ์ไดนามิก ลุคสปอร์ตด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ S line Black Edition และล้อลายใหม่ Audi Sport 5-double arm style ขนาด 20 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light staging) พร้อมไฟ Projector LED สัญลักษณ์ S ที่ประตูหน้า เบาะนั่งคู่หน้าหนัง Valcona

Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line รุ่นใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด พร้อมสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น ตกแต่งภายนอกด้วยดีไซน์กระจังหน้าใหม่ เสริมความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง Black Edition และล้อลายใหม่ ทั้งยังปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ มาให้ราคาที่คุ้มค่า ครอบครองได้ง่ายขึ้น เปิดให้จองแล้วในราคาเริ่มต้น 4,799,000 บาท และ A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,099,000 บาท

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี Metallic Glacier White, Metallic Floret Silver, Metallic Mythos Black, Metallic Chronos Grey, และสีใหม่ Metallic Firmament Blue และ Metallic Grenadine Red

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถ Plug-in Hybrid TFSI e ใหม่ ทุกรุ่นรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ลูกค้าอาวดี้สามารถมั่นใจกับงานบริการหลังการขายซึ่งมีมาตรฐานคุณภาพเดียวกันทุกสาขา โทรนัดหมายได้ที่

Audi Centre Thailand02-765-8888
Audi New Petchburi02-023-4888
Audi Pattaya  038-197-888
Audi Phuket       076-646-666
Audi Service Chiang Mai052-081-188
Audi Service Ratchapruek02-034-5888
Audi Udonthani  052-081-188
Audi Korat         044-017-888

  

“iTIC” ร่วมกับ กระทรวงคมนาคม ขับเคลื่อนการจราจรอัจฉริยะ “แก้ปัญหาจราจร ลดอุบัติเหตุอย่างยั่งยืน”

มูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information enter Foundation) หรือ “iTIC” ร่วมกับ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทย และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนา “4th iTIC FORUM 2023: Power of Connectivity and Smart Mobility” เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้าน Connectivity and Smart Mobility ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยกระดับการพัฒนาระบบขนส่ง การจราจรอัจฉริยะและลดอุบัติเหตุในประเทศไทยแบบ real-time เนื่องจาก ประเทศไทยมีอุบัติเหตุเป็นอันดับ 9 ของโลก  มีผู้เสียชีวิต 17,379 คน/ปี หรือ กว่า 48คน/วัน มีฝุ่นควันพิษมากเป็นอันดับที่ 30 ของโลก และกรุงเทพมหานครรถติดเป็นอันดับ 32 ของโลก

โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเปิดงาน และปาฐกถาพิเศษ “ความพร้อมของการเชื่อมต่อ โครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย” ในงานครั้งนี้ว่า “การสัมมนาในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้น 4 แนวทางหลักคือ 1.เปิดประตูการค้า การท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนารถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ส่งเสริม และพัฒนาระบบโครงข่ายทางถนน และทางพิเศษให้ครอบคลุมความต้องการเดินทางของประชาชน ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าทางน้ำที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือแหลมฉบัง ตลอดจนการศึกษาโครงการ Land Bridge เชื่อมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย 2.เน้นความปลอดภัยลดอุบัติเหตุในการเดินทางของประชาชน 3.เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี และลดต้นทุนในการเดินทาง 4. เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น Green Transport ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และ PM 2.5 โดยส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกในการเดินทาง รวมทั้งการบูรณาการ ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการจราจร กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริการครอบคลุมการเดินทาง อาทิ รถไฟใต้ดิน บนดิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 276.84 กิโลเมตร ถนนทางหลวง ทางหลวงชนบท และทางหลวงท้องถิ่นรวมระยะทาง 707,364.25 กิโลเมตร”

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information enter Foundation) หรือ “ iTIC” กล่าวว่า “มูลนิธิฯ พร้อมระดมพลังความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และเอกชนขับเคลื่อนข้อมูล Big Data ระหว่างหน่วยงานต่างๆ นำมาประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูลแก้ปัญหาจราจร และลดอุบัติเหตุแบบ real-time เช่น การปิดจราจร อุบัติภัย ไฟไหม้ เมฆฝน และน้ำท่วม ภัยพิบัติ หรือแม้กระทั่ง ฝุ่น PM2.5 ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญ มีการแจ้งเตือนการเกิดอุบัติเหตุ ให้ผู้ขับขี่ที่เดินทางไปในบริเวณรัศมี 5 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุ iTIC รายงานข้อมูลแบบ Real time traffic โดยใช้ข้อมูลจาก Vehicle Probe กว่า 100,000 คัน ที่วิ่งอยู่ทั่วประเทศมาประมวลผล แสดงบน Digital Map มีกล้อง CCTV รวมทั้งหมด 282 กล้อง อนาคตมีแผนขยายการเชื่อมต่อกล้อง CCTV จากเทศบาลเมืองภูเก็ต อุดรธานี หนองคาย เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด กล้อง CCTV นอกจากใช้ประโยชน์ในการดูสภาพจราจรแบบ Real time แล้ว ยังใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุ มีการเสนอจุดฝืดของจราจร 20 จุดใน กทม. รวมทั้งจุดเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่กทม. และ ฉะเชิงเทรา”

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  กล่าวถึง “แนวคิดใหม่ในการสัญจรของคนกรุง” การเดินทางที่ดีเป็นนโยบายของกทม. ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนเดินทางให้เกิดความสะดวกสบายและปลอดภัย แต่ปัจจุบันยังพบว่าปัญหาการเดินทางของประชาชน คือ การเชื่อมต่อจุดหมายปลายทางของการเดินทาง บางเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้ายังไปไม่ถึง ที่ผ่านมากทม.ได้มีการทำแพลตฟอร์ม Traffic Fongdu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนถึงปัญหาต่างๆของประชาชนในกรุงเทพฯ ประมาณ 300,000 เรื่อง พบว่าปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามาส่วนใหญ่ คือ เรื่องปัญหาการเดินทางถนนและปัญหาบนทางเท้า ทั้งนี้กทม.มีแผนจะปรับปรุงทางเท้าใหม่ โดยใช้มาตรฐานใหม่ในการก่อสร้างทั้งวัสดุผิวทางเท้า,คอนกรีตเสริมเหล็กหนาประมาณ 10 ซม. ทั้งยังมีแผนดำเนินการก่อสร้างทางเดินสำหรับกันแดดและการฝนเพื่อเชื่อมต่อป้ายรถประจำทางและสถานีรถไฟฟ้า นอกจากนี้ขณะเดียวกันกทม.ยังมีโครงการแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯด้วยการติดตั้งระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรเป็นพื้นที่ (ATC) โดยเป็นการนำข้อมูล Probe Data มาใช้ในพื้นที่โครงการ ซึ่งจะช่วยลดความล่าช้าการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนลง 10% และลดความล่าช้าการเดินทางนอกชั่วโมงเร่งด่วนลง 30% โดย กทม.มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาจุดฝืด-จุดรถติด เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและลดอุบัติเหตุในกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน

ในช่วงเช้าของการสัมมนายังมีการบรรยายพิเศษ โดยได้รับเกียรติจาก Vehicle Information and Communication Systems (VICS) และ Intelligent Transportation Society of Taiwan (ITS Taiwan) มาแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จในการแก้ปัญหาจราจร และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดจนเทคโนโลยีการเดินทางอัจฉริยะ รวมทั้ง บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA)  ได้แลกเปลี่ยนความรู้เรื่อง “ศักยภาพของเอกชนไทยในการขับเคลื่อนสมาร์ทโลจิสติกส์ รถ-เรือ-ราง ด้วย Green Transportation”

หลังจากนั้นจะเป็นช่วง เสวนา นำโดย ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในหัวข้อ “โอกาสของไทยในการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมแห่งภูมิภาคเชื่อมไทยเชื่อมโลก” สร้างระบบ Feeder ไปยังสถานีขนส่งมวลชนได้อย่างไร โดยมี กรมการขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาในครังนี้

ในช่วงบ่าย รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รศ.ดร. วิศณุ ทรัพย์สมพล ได้นำเสนอ “แนวคิดใหม่ในการสัญจรของคนกรุง” หลังจากนั้น บริษัท ช.การช่าง โดย ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ ได้กล่าวถึง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางอัจฉริยะและสังคมที่ยั่งยืนในประเทศไทย” ได้อย่างน่าสนใจ

รวมทั้ง บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย โดย คุณ ฮิเดโอะ อิวาซาวะ ก็ได้แบ่งปันความรู้การใช้ข้อมูลในการสร้างคุณค่าร่วมกันผ่านการเสวนา นำโดย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้กล่าวถึงประสบการณ์ และยกตัวอย่างการลดอุบัติเหตุ รวมทั้งการช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บบนถนน ของจังหวัดขอนแก่น Model ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ว่าทำอย่างไร โดยมี กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก ร่วมการเสวนาครั้งนี้

สุดท้ายเป็นการเสวนาหัวข้อ “พลังของข้อมูลในระบบคมนาคมขนส่งสู่อนาคต” และยังมีการจัดนิทรรศการโดยผู้สนับสนุนหลัก SME และ Start up ถึง 30 บูท ปิดท้ายด้วย Big Surprise ช่วงท้ายของงาน โดยมีผู้สนใจทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 300 รายเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าว

ข้อมูลเพิ่มเติมมูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย

มูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information Center Foundation) หรือ “iTIC” เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2553 ภายใต้วัตถุประสงค์ในการเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลจราจรจากภาครัฐและภาคเอกชน มาประมวลผลเพื่อพัฒนาต่อยอด และเผยแพร่แบบ Real-time เพื่อลดปัญหาจราจร เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ตลอดจนพัฒนาประสิทธิภาพระบบขนส่ง และการเดินทาง โดยประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ฟรี ผ่าน Website และ Application ของ iTIC เพื่อใช้วางแผนการเดินทาง หลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ลดอุบัติเหตุ ซึ่งความสำเร็จตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ล้วนเกิดจากความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

Toyota Asia นำเสนอวิสัยทัศน์ “การขับเคลื่อนแห่งอนาคตสำหรับเอเชีย”

มร. มาซาฮิโกะ มาเอดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชีย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น แถลงให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชน เกี่ยวกับทิศทางของ โตโยต้า ที่มีต่อการขับเคลื่อนในอนาคตสำหรับกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย

ในงาน Japan Mobility Show ครั้งนี้ โตโยต้าจัดแสดงภายใต้แนวคิด “ร่วมพลิกโฉมอนาคตแห่งยานยนต์ — Find Your Future”  ซึ่งเป็นการรวบรวมจิตวิญญาณแห่ง การสืบสานและวิวัฒนาการ

ในแง่ของการสืบสาน โตโยต้า จะยังคงมุ่งมั่นเป็นบริษัทที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด (Product Centered) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละภูมิภาค (Region Based) โดยเรามุ่งเปลี่ยนสู่การเป็นองค์กรแห่งการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง ผ่านการนำเสนอหลากทางเลือกด้านเทคโนโลยี เพื่อมุ่งบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมเพิ่มคุณค่าของการขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน

ภาพที่ 1: ทิศทางในระดับโลกของโตโยต้า

ภายใต้แนวคิดสำคัญคือ ความเป็นกลางของคาร์บอน และ การเพิ่มคุณค่าของการขับเคลื่อน โตโยต้า    ได้วาง คอนเซปต์ของการขับเคลื่อน อย่างพิถีพิถัน โดยมีเสาหลักสำคัญ ได้แก่ การใช้พลังงานไฟฟ้า  (Electrification)  การสร้างความหลากหลาย (Diversification) และการเสริมความอัจฉริยะ  (Intelligence)

ภาพที่ 2 : แนวคิดหลักการขับเคลื่อนของโตโยต้า

การใช้พลังงานไฟฟ้า

โตโยต้า มุ่งนำเสนอการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multi – Pathway” ผ่านการพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าและของภูมิภาค สำหรับภูมิภาคเอเชียที่มีหลายปัจจัยอันส่งผลกระทบต่อเส้นทางสู่ความเป็นกลางคาร์บอน โตโยต้า นำเสนอแนวทางที่มีความเป็นไปได้ บนพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และการใช้งานจริง เรามุ่งนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และพลังงานทางเลือกหลากหลายรูปแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างความแพร่หลายของการใช้งาน และการใช้งานในทันที  

ภาพที่ 3: แนวทางการเสนอตัวเลือกที่หลากหลายของ Toyota

ภูมิภาคเอเชียเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายอย่างยิ่ง โตโยต้า จึงให้ความสำคัญกับการสร้างทางเลือกที่มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ให้ครอบคลุมทางเลือกในทุกระดับราคา และทุกเซกเมนท์ตั้งแต่รถยนต์ส่วนบุคคลไปจนถึงรถยนต์เพื่อการพาณิชย์

ในทวีปเอเชีย โครงการ IMV (Innovative International Multipurpose Vehicle) โดยรถยนต์รุ่น ไฮลักซ์ และ อินโนวา สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ โตโยต้า เพื่อเติมเต็มความหลากหลาย โดยนับตั้งแต่โครงการ IMV เปิดตัวในปี พ.ศ. 2547 สามารถตอบสนองความต้องการด้านการขับเคลื่อนให้กับผู้ใช้งานทั้งรูปแบบส่วนบุคคลและในเชิงธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการจ้างงาน พัฒนา ห่วงโซ่อุปทาน และส่งเสริมการส่งออก อันมีส่วนช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และวัตถุประสงค์ระดับชาติ ปัจจุบัน โตโยต้า มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ IMV 0 ซึ่งออกแบบมาสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหารถที่มีราคาสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย ตัวรถยังสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย  ช่วยแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงการขับเคลื่อนและมาตรฐานชีวิตลูกค้ากลุ่มต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ โตโยต้า ยังมองหาแนวทางใหม่ๆ สำหรับการขับเคลื่อนทางเลือกอื่น เพื่อให้ทุกคน รวมถึงผู้ที่มีข้อจำกัดทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้มีความบกพร่องทางร่างกายสามารถเข้าถึงได้ เรามุ่งสร้างการขับเคลื่อนตามหลักการที่ว่าเราจะ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง‘ และมอบทางเลือก การขับเคลื่อนสำหรับทุกคน (Mobility for All) ที่เหมาะสมที่สุดให้กับลูกค้า

ภาพที่ 4.1: การสร้างความหลากหลายเพื่อการขับเคลื่อนของทุกคน

การเสริมความอัจฉริยะ

ด้วยการใช้เทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อ และการวิเคราะห์ข้อมูล มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมด้านการขับเคลื่อนและโครงสร้างพื้นฐาน โตโยต้า พัฒนาทางเลือกใหม่ด้านการเดินทาง และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้ารายบุคคลและลูกค้าองค์กร เช่น การแนะนำพฤติกรรมของผู้ขับขี่ การติดตามการโจรกรรม หรือการหาข้อมูลเส้นทางที่ดีที่สุด ทางเลือกใหม่ๆ เหล่านี้ยังสามารถบูรณาการเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานได้ เช่น วงจรการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ อย่างเช่น สัญญาณไฟจราจร โตโยต้า ตระหนักดีว่าการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในส่วนของยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์จะมีส่วนสำคัญในการช่วยลดการปล่อยคาร์บอน

ภาพที่ 5: การประสานความร่วมมือของการขับเคลื่อนในเอเชีย

ในท้ายที่สุด การใช้พลังงานไฟฟ้า – การสร้างความหลากหลาย – และการเสริมความอัจฉริยะ องค์ประกอบทั้งสามส่วนนี้จะต้องทำงานร่วมกันเป็นระบบนิเวศแบบบูรณาการเพื่อตอบโจทย์ด้านความเป็นกลางของคาร์บอน และความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

ในประเทศไทย โตโยต้า ริเริ่มโครงการนำร่องเพื่อมุ่งสู่ฝันของชาวไทย (Thai Dream trial project) ร่วมกับภาคีอื่นๆ ใน Commercial Japan Partnership Technology (CJPT) เช่น อีซูซุ และฮีโน่ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและไอทีของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างพันธมิตรที่มีจุดยืนร่วมกัน อย่างบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด  (ซีพี)  บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (เอสซีจี) ภายใต้แผนที่จะแนะนำทางเลือกใหม่ในลักษณะเดียวกันที่บูรณาการการใช้พลังงานไฟฟ้า การสร้างความหลากหลาย และการเสริมความอัจฉริยะ สำหรับประเทศอื่นด้วยเช่นกัน

มร. มาเอดะ กล่าวย้ำว่า โตโยต้า ริเริ่มพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้ามาเป็นเวลานานแล้ว และได้พัฒนาเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์มากมาย เช่น HEV และ FCEV นอกเหนือจากนั้น เรายังได้เสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้าทุกรูปแบบ ดังจะเห็นได้จากรถยนต์ภายใต้โครงการ IMV และคอนเซปต์คาร์ IMV0 ทั้งนี้เราตระหนักว่าการพัฒนาแนวคิดหลักในการขับเคลื่อนของโตโยต้า จำเป็นต้องบูรณาการการใช้พลังงานไฟฟ้า การสร้างความหลากหลาย และเสริมสร้างความอัจฉริยะ เพื่อทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนขึ้นได้จริง และมอบคุณค่าที่แท้จริงสำหรับการขับเคลื่อน โตโยต้า ตระหนักด้วยว่าเราไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้โดยลำพัง และเราต้องการให้ทุกคนร่วมเดินไปพร้อมๆ กันกับเรา

JAPAN MOBILITY SHOW 2023 จัดที่ Tokyo Big Sight (เขตโคโต กรุงโตเกียว)  

25-26 ตุลาคม: รอบสื่อมวลชน / 26-27 ตุลาคม: รอบแขกพิเศษ 28 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน: เปิดสำหรับบุคคลทั่วไป

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบูธภายใน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 https://global.toyota/en/newsroom/corporate/jms2023/

เกี่ยวกับ Toyota Motor Asia Pacific

Toyota Motor Asia Pacific (TMAP) จัดตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ เป็นสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคและเป็นบริษัทในเครือของ Toyota Motor Corporation โดย TMAP เป็นผู้นำและสนับสนุนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในด้านการขายและกิจกรรมในภาพที่ 5: การประสานความร่วมมือของการขับเคลื่อนในเอเชีย รวมถึงชิ้นส่วนอะไหล่ อุปกรณ์เสริม และการบริการลูกค้า ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์และเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตในภูมิภาคโดยรวม

โตโยต้ากำหนดวิสัยทัศน์สังคมแห่งการขับเคลื่อนในอนาคตเพื่อมอบเสรีภาพในการเคลื่อนที่ให้กับทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น โตโยต้ายังมอบบริการด้านการขับเคลื่อนและการขนส่งที่หลากหลายแก่ผู้คนทั่วโลกในฐานะองค์กรแห่งการขับเคลื่อนอีกด้วย

เกี่ยวกับ Toyota Daihatsu Engineering and Manufacturing Co. Ltd

Toyota Daihatsu Engineering and Manufacturing Co. Ltd (TDEM) ก่อตั้งขึ้น โดยเป็นศูนย์รวมฟังก์ชันของส่วนงานที่จำเป็นทั้งหมดเข้าด้วยกัน เช่น การเตรียมการผลิต การควบคุมการผลิตและโลจิสติกส์ รวมถึงบริการหลังการขาย เพื่อมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค ตลอดจนการเสนอโซลูชั่นและเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท Asia Sales & Manufacturing Company (ASMCs) เพื่อดูแลลูกค้าในเอเชีย นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) นอกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นผ่านการพัฒนารถยนต์ที่ดีกว่าเดิมสำหรับลูกค้าในเอเชียและทั่วโลก ในขณะเดียวกันก็รักษามาตรฐานระดับสูงของ

ฮอนด้า เปิดจำหน่าย “แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่” อย่างเป็นทางการราคาเริ่มต้น 1,529,000 บาท

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศราคา “ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่” อย่างเป็นทางการ โดยราคารุ่น e:HEV E ราคา 1,529,000 บาท รุ่น e:HEV EL ราคา 1,669,000 บาท และรุ่น e:HEV RS ราคา1,799,000 บาท ยกระดับไลน์อัป e:HEV ของฮอนด้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมเดินหน้าตอกย้ำบทบาทผู้นำกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ในประเทศไทย ผสานการนำเสนอคุณค่าเพื่อให้เป็นรถที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบโดย ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตสะท้อนความหรูหราทั้งภายนอกและภายใน สมรรถนะการขับขี่ทรงพลังด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ในทุกรุ่นย่อย มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร และประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25 กม./ลิตร มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย นอกจากนี้ยังมาพร้อมหลากหลายเทคโนโลยีอันล้ำสมัย* เพื่อความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง อาทิ Google built-in ปุ่ม Experience Selection Dial ที่เลือกปรับได้อย่างง่ายดาย ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) สวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Switch) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้า โดยมีการเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรกใน แอคคอร์ด อีกทั้งมั่นใจด้วยหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัยอื่นๆ* อาทิ ถุงลม 8 ตำแหน่งในทุกรุ่นย่อย ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (ACL) เซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และหลัง 4 จุด เป็นต้น มาพร้อม “Honda Exclusive Care” ให้ลูกค้าขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ได้อย่างมั่นใจและอุ่นใจประกอบด้วยฟรีประกันภัย 1 ปี ฟรีรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง อีกทั้งฟรีแพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง ค่าอะไหล่ 5 ปี หรือ 100,000 กม. และฟรี Honda Ultimate Care ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง อีก 2 ปี หรือ 40,000 กม.กับข้อเสนอดอกเบี้ย 2.29%**พร้อมเปิดให้ลูกค้าสัมผัสกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ พร้อมทดลองขับได้ที่โชว์รูมฮอนด้า ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

นายฮิเดโอะ คาวาซากะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้า แอคคอร์ด นับเป็นรถที่สำคัญรุ่นหนึ่งของฮอนด้า ในฐานะแฟลกชิปโมเดลทั้งในระดับโลกและประเทศไทย ที่นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยใหม่ ๆ มาโดยตลอด ในวันนี้ แอคคอร์ด เจเนอเรชันที่ 11 พร้อมขับเคลื่อนชีวิตของผู้คนด้วยเทคโนโลยี e:HEV ที่เหมาะสมที่สุด ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั่วโลก อีกทั้งพร้อมมอบคุณค่าที่ยกระดับตลาดรถยนต์ในกลุ่ม D-Segment อีกขั้น กับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ที่ผสานเทคโนโลยีระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ มอบการขับเคลื่อนที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยพลังขับเคลื่อนหลักจากมอเตอร์ไฟฟ้าอันทรงพลัง มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย พร้อมด้วยหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยอันล้ำสมัย ที่ได้รับการติดตั้งในรถยนต์คันนี้ เพื่อให้เป็นรถที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“โดยฮอนด้า ให้ความสำคัญกับการทำตลาดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นที่รถยนต์ไฮบริดเป็นหลัก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหญ่ ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนของการขายรถยนต์ไฮบริดที่มากที่สุดในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ในตลาดรถยนต์รวมในประเทศไทย ซึ่งการเปิดตัว ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ในครั้งนี้ จะมีส่วนสำคัญในการตอกย้ำความเป็นผู้นำของฮอนด้าในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกทั้งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในภาพรวม สร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในด้านการจ้างงาน และด้าน Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ อีกทั้งเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงจุดแข็งด้านคุณภาพการผลิต และความเชื่อมั่นของรถที่ผลิตในไทยที่ได้มาตรฐานระดับเดียวกับฮอนด้าทั่วโลกได้เป็นอย่างดี”

โดยราคาจำหน่าย ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ทั้ง3 รุ่นย่อย ได้แก่

  • รุ่น e:HEV RS            ราคา 1,799,000 บาท  
  • รุ่น e:HEV EL            ราคา 1,669,000 บาท  
  • รุ่น e:HEV E              ราคา 1,529,000 บาท

มาพร้อมสีภายนอกให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาวแพลทินัม (มุก)  สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)  สีเทาเมทิเออรอยด์
(เมทัลลิก)  และสีดำคริสตัล (มุก) พร้อมภายในสีดำ และสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

ข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ เมื่อจองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566 รับข้อเสนอดอกเบี้ย 2.29%** พร้อมรับ Honda Exclusive Care (ฮอนด้า เอ็กซ์คลูซีฟ แคร์) ประกอบด้วย

  • ฟรีประกันภัย 1 ปี
  • ฟรีรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
  • ฟรีแพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง ค่าอะไหล่ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
  • ฟรี Honda Ultimate Care (ฮอนด้า อัลติเมท แคร์) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร ต่อจากการรับประกันคุณภาพรถใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร สิ้นสุด รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ได้อย่างมั่นใจและอุ่นใจ ด้วยบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน และทีมงานที่เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ด้าน e:HEV (e:HEV Expert) จากเครือข่ายศูนย์บริการฮอนด้าที่ได้มาตรฐานและครบวงจรครอบคลุมทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ภายในงานเปิดตัวฯ ยังได้จัดแสดงยนตรกรรมในไลน์อัป e:HEV ครอบคลุม 4 เซกเมนต์หลักทั้งในกลุ่มซิตี้คาร์ ได้แก่ ซิตี้ อี:เอชอีวี และ ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี กลุ่มคอมแพคท์คาร์ ได้แก่ ซีวิค อี:เอชอีวี กลุ่มเอสยูวี ได้แก่ เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี และ ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี และกลุ่ม D-segment ได้แก่ แอคคอร์ด อี:เอชอีวี เพื่อเน้นย้ำความแข็งแกร่งของเทคโนโลยี e:HEV ที่เหมาะสมที่สุด พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน อีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยลูกค้าที่สนใจสามารถร่วมรับชม Live Talk ในหัวข้อ “ยุคที่ผู้คนมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ทำไมรถยนต์ไฮบริดถึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม” กับกูรูยานยนต์และ Influencer ในหลากหลายวงการ ผ่านทางLIVE ถ่ายทอดสดออนไลน์ทางออฟฟิเชียลแอคเคานต์ “Honda Thailand” ในช่องทางFacebook และ YouTube Channel วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2566  ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ในทุกรุ่นย่อย ตอบสนองอย่างทันใจและทรงพลัง มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร และมีอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25 กม./ลิตร โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด (Intelligent Multi-mode drive) ประกอบไปด้วยการทำงานของโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)นอกจากนี้ในขณะลดความเร็ว ระบบจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นจากการลดความเร็วนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ (Regeneration)นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังสามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้า กับสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Switch) ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ที่ได้รับการพัฒนาโดยเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรก ในแอคคอร์ด

ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นในทุกมิติ ผสานความหรูหราสง่างามและความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว ภายในห้องโดยสารกว้าง ครบครันด้วยเทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานเพื่อความสะดวกสบาย และสะท้อนภาพลักษณ์อย่างมีระดับ อาทิ Google built-in  ปุ่ม Experience Selection Dial ที่เลือกปรับได้ดั่งใจ  ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ (Multi-color Ambient Light)  ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง  ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) ขนาด 11.5 นิ้ว  ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว  ช่องเชื่อมต่อ USB Type C 4 ตำแหน่ง  อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) เป็นต้น  ครั้งแรกในโลกกับรุ่น e:HEV RS ที่เสริมความสปอร์ตพรีเมียมอีกขั้นในดีไซน์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน มาพร้อมหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof)  ไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังแบบ LED Sequential  และระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)  พร้อม Honda Smart Key Card เป็นต้น

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ผสานการทำงานของกล้องมุมกว้างด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) หรือ ใหม่ ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับระบบ
    ไฟหน้า
    LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย
    ในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน
  • ใหม่ ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่น * อาทิ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS)  ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (ACL) ระบบเพิ่มความเสถียรและความคล่องตัวในการขับขี่ (Motion Management System: MMS)  ถุงลม 8 ตำแหน่ง ในทุกรุ่นย่อย  เซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และหลัง 4 จุด  ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)  ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder) ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหลัง ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร(ANC)  และเซนเซอร์ตรวจจับเสียงรบกวนจากพื้นถนน (Road noise ANC)  อีกทั้งเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่ออันล้ำสมัยที่เชื่อมผู้ใช้งานกับรถให้เป็นหนึ่งเดียว อาทิ

ใหม่ ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า กับฟังก์ชันการอัปเดตซอฟต์แวร์ Over-The-Air (OTA) ช่วยให้ผู้ใช้รถ
ไม่เพียงสามารถอัปเดตระบบ Infotainment แต่ยังสามารถอัปเดตการทำงานของ ECU จากทางไกลได้ และใหม่ ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT มาพร้อมเทคโนโลยี Digital Key เป็นครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า เป็นต้น

ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมอีกขั้น ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) ที่มาพร้อมแนวคิด “The Premium Sedan” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ คิ้วบันไดไดนามิก LED ราคา 6,500 บาท ชุดโลโก้ Accord และ
H Mark หลังสีดำ ราคา 1,500 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 2,200 บาท ชุดฝาปิดจุกลม H Mark ราคา 850 บาท และฟิล์มกันรอยบริเวณขอบประตู ราคา 1,200 บาท หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจ
ชุดแต่งรอบคัน
ได้แก่

  • Aero Smart Package ราคา 29,990 บาท ประกอบด้วยสเกิร์ตหน้า สเกิร์ตหลัง และสเกิร์ตข้าง
  • Aero Sport Package ราคา 39,500 บาท (สำหรับรุ่น e:HEV E และ e:HEV EL) ประกอบด้วย
    สเกิร์ตหน้า สเกิร์ตหลัง สเกิร์ตข้าง และสปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต
  • Film Package ราคา 1,700 บาท ประกอบด้วยฟิล์มกันรอยบริเวณที่เปิดประตู และฟิล์มกันรอย
    กันชนหลัง

หรือดูรายละเอียดชุดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/products/accordehev

ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/accordehev

หมายเหตุ

*อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

– สำหรับสีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 14,000 บาท และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท

ราคาอุปกรณ์ตกแต่ง ไม่รวม VAT 7%

กรณีติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งพร้อมรถยนต์ใหม่ รับประกันอุปกรณ์ตกแต่งนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ สปอร์ตพรีเมียมแฟลกชิปซีดานมาพร้อมระบบฟูลไฮบริด e:HEV และ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมเปิดตัวพรีเมียมแฟลกชิปซีดาน “ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่” ภายใต้ ฮอนด้า แอคคอร์ด เจเนอเรชันที่ 11 ที่ได้รับการยกระดับเพื่อส่งมอบคุณค่าใหม่อีกขั้น สู่การเป็นยนตรกรรมที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบ ครั้งแรกกับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ทุกรุ่นย่อย ให้การตอบสนองที่ทันใจและทรงพลังด้วยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ในระบบเกียร์ E-CVT มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีประสิทธิภาพสูง ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร  Direct Injection ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ มอบพลังการขับเคลื่อนที่ไร้กังวลในทุกเส้นทาง โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด (Intelligent Multi-mode drive) มีอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25 กม./ลิตร มั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย มาพร้อมดีไซน์ที่โดดเด่นทั้งภายนอกและภายใน ผสานความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ความประณีต และฟังก์ชันการใช้งานไว้อย่างลงตัว ครั้งแรกในโลกของ แอคคอร์ด กับรุ่น e:HEV RS ที่ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมอีกขั้น ในดีไซน์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน เสริมความพรีเมียมด้วยหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) นอกจากนี้ยังมาพร้อมหลากหลายเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีการขับขี่ที่ครบครัน* ที่ฮอนด้าได้ติดตั้งเป็นครั้งแรก* ใน แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ อาทิ ปุ่ม Experience Selection Dial ที่เลือกปรับได้อย่างง่ายดายGoogle built-in ที่มาพร้อมแอปและบริการของ Google ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ (Multi-color Ambient Light) ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว สวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่แบบ Individual (Individual Mode) ใหม่ สามารถเลือกปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบส่งกำลัง พวงมาลัย ระบบ Adaptive Cruise Control และสีของมาตรวัดได้อย่างอิสระ สวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EV Switch ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้า โดยมีการเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรกใน แอคคอร์ด ช่องเชื่อมต่อ USB type C 4 ตำแหน่ง อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) อีกทั้งเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัยอื่น ๆ* อาทิ ถุงลม 8 ตำแหน่งในทุกรุ่นย่อย ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (ACL) เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง เป็นต้น เสริมความมั่นใจในระบบ e:HEV ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง** โดยจะประกาศราคาและเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 17 ตุลาคม 2566

พิเศษ สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ก่อนใคร สามารถลงทะเบียนจองสิทธิ์ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เวลา 22.00 น.** โดยสามารถจองสิทธิ์ผ่านที่ปรึกษาการขายฮอนด้า หรือที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ พร้อมรับฟรีบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท** เมื่อจองและรับรถภายในระยะเวลาที่บริษัทฯ กำหนด**

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด3 รุ่นย่อย ได้แก่

  • รุ่น e:HEV RS            ราคาประมาณการไม่เกิน 1,800,000 บาท***  
  • รุ่น e:HEV EL            ราคาประมาณการไม่เกิน 1,670,000 บาท***  
  • รุ่น e:HEV E              ราคาประมาณการไม่เกิน 1,530,000 บาท***            

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวแพลทินัม (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) สีเทาเมทิเออรอยด์
(เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก) พร้อมภายในสีดำ และสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่

ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นในทุกมิติ ผสานความหรูหราสง่างามและความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว

  • กระจังหน้าดีไซน์สปอร์ตใหม่ โดดเด่นด้วยแพตเทิร์นที่มีมิติ สะกดทุกสายตา
  • ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED
  • ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
  • กระจกมองข้างด้านซ้ายปรับลดอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • ระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
  • เสาอากาศครีบฉลาม
  • ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีเงิน (รุ่น e:HEV E) และขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ตสีดำ (รุ่น e:HEV EL)

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง พร้อมส่งมอบประสบการณ์สุดเอกซ์คลูซีฟ ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกสบาย สะท้อนภาพลักษณ์ที่มีระดับ

  • ปุ่ม Experience Selection Dial ที่สามารถหมุนเพื่อเลือกและบันทึกฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถปรับเลือกระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง และไฟสร้างบรรยากาศภายในรถยนต์ได้ ซึ่งจะแสดงผลบนระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ช่วยให้ผู้ใช้รถสัมผัสกับประสบการณ์การควบคุมได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งสามารถตั้งค่าผู้ใช้งานได้จำนวนสูงสุดถึง 8 แบบ
  • ใหม่ ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ (Multi-color Ambient Light) ที่ได้รับการติดตั้งใน ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ เป็นครั้งแรก (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • ใหม่ ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง
  • ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร Plasmacluster (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลัง 4 ทิศทาง
  • ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ พร้อมเลื่อนอัตโนมัติเวลาขึ้น-ลงรถ
  • ใหม่ เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
  • ปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าข้างพนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • ใหม่ ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) พร้อม Honda Smart Key Card
    (รุ่น e:HEV RS)
  • ใหม่ ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า ที่ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT มาพร้อมเทคโนโลยี Digital Key
  • ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • ม่านบังแดดกระจกข้างด้านหลัง
  • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย(Wireless Charger)

ครั้งแรกในโลกของแอคคอร์ดกับรุ่น e:HEV RS ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมอีกขั้นในดีไซน์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน

  • โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น กับสัญลักษณ์ RS บนกระจังหน้าและด้านท้าย
  • ใหม่ หลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามาเปิดมุมมองที่กว้างขวาง ยกระดับสุนทรียภาพในการเดินทาง
  • ใหม่ ไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังแบบ LED Sequential
  • ไฟส่องมือจับเปิดประตูด้านนอก
  • กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมพับเก็บอัตโนมัติ สีดำแบบสปอร์ต
  • ช่องระบายอากาศด้านข้างสีเงิน เสริมความ Contrast และพรีเมียมยิ่งขึ้น
  • เสาอากาศครีบฉลามสีดำแบบสปอร์ต
  • สปอยเลอร์หลังสีดำแบบสปอร์ต
  • ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว เสริมความสปอร์ตหรูด้วยสีดำแบบแมตต์
  • ภายในห้องโดยสาร มาพร้อมเบาะหนังสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง และชุดตกแต่งภายในสีเงิน Metallic ลาย 3 มิติ และสีดำ Piano Black

ขับเคลื่อนสู่ทุกจุดหมายอย่างไร้ข้อจำกัด กับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ทุกรุ่นย่อย

  • e:HEV ที่ให้การตอบสนองที่ทันใจและทรงพลัง ด้วยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ในระบบเกียร์ E-CVT ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนประสิทธิภาพสูง ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ โดยระบบจะมอบสมดุลระหว่างสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง แรง ตอบสนองดั่งใจ มอบอัตราการประหยัดน้ำมันที่เยี่ยมถึง 25 กม./ลิตร ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 96 กรัม/กิโลเมตร
  • e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด (Intelligent Multi-mode drive) ประกอบไปด้วยการทำงานของโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) นอกจากนี้ในขณะลดความเร็ว ระบบจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นจากการลดความเร็วนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ (Regeneration)
  • อี:เอชอีวี ใหม่ ยังมาพร้อมสวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามสไตล์ เพียงกดปุ่มที่อยู่บริเวณด้านล่างของคันเกียร์ ได้แก่
    • โหมดการขับขี่แบบ Individual (Individual Mode) ที่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบส่งกำลัง พวงมาลัย ระบบ Adaptive cruise control และสีของมาตรวัดได้อย่างอิสระ(Sport Mode)(Normal Mode)
    • (Econ Mode)

มั่นใจยิ่งขึ้นในทุกเส้นทาง ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัยอื่นๆ และเทคโนโลยีการขับขี่ที่ครบครัน

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ผสานการทำงานของกล้องมุมกว้างด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลัก ๆ ดังนี้

  • Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)
  • Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
  • Auto High-Beam: AHB) หรือ ใหม่ ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน
  • ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่นๆ* อาทิ

  • สวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Switch) ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้า โดยมีการเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรกใน แอคคอร์ด ซึ่งเป็นโหมดที่จะชาร์จแบตเตอรี่ ในขณะที่รถวิ่งด้วยน้ำมันและยังมีการพัฒนาแรงขับเคลื่อนของ EV ในช่วงความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ซึ่งเหมาะแก่การวิ่งในย่านชุมชน เพื่อยืดระยะของการวิ่งด้วย EV ให้ยาวนานขึ้น
  • ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
  • ใหม่ ระบบเพิ่มความเสถียรและความคล่องตัวในการขับขี่ (Motion Management System: MMS)
  • ถุงลม 8 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้างคู่หน้า ม่านถุงลมด้านข้าง และใหม่ ถุงลมหัวเข่าคู่หน้า
  • ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)
  • ใหม่ ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
  • ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า และใหม่ ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหลัง
  • ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร(ANC) และ ใหม่ รุ่น e:HEV RS มาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับเสียงรบกวนจากพื้นถนน (Road noise ANC)
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)

สู่ประสบการณ์เดินทางที่สมบูรณ์แบบเต็มขั้น กับครั้งแรกของหลากหลายเทคโนโลยี เชื่อมต่ออันล้ำสมัย รองรับสมาร์ตไลฟ์สไตล์ ผสานผู้ใช้งานกับรถได้อย่างลงตัว

  • ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า ขอแนะนำ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ที่มี Google built-in พบกับแอปที่คุณชื่นชอบอย่าง Google Assistant, Google Maps และแอปอื่น ๆ อีกมากมายจาก Google Play ในรถยนต์ของคุณเพื่อประสบการณ์การขับขี่แบบมีผู้ช่วยที่ราบรื่นและปรับเปลี่ยนได้ในแบบของคุณ
  • ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
  • (Head-up Display: HUD) ขนาด 11.5 นิ้ว (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • TFT ขนาด 10.2 นิ้ว ซึ่งเป็นจอแบบ Full Graphic LCD ที่สามารถแสดงผลทั้งการทำงานของเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ข้อมูลการขับขี่ และข้อมูลต่าง ๆ ของตัวรถในรูปแบบของกราฟิกขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถแสดงผลการทำงานของ Maps ได้เต็มหน้าจอ เมื่อใช้งาน Google built-in อีกด้วย ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย แม้จะมีการทำงานของระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ก็ไม่รบกวนการนำทางบนหน้าจอ
  • ช่องเชื่อมต่อ USB Type C 4 ตำแหน่ง ได้แก่ ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
  • ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า กับฟังก์ชันการอัปเดตซอฟต์แวร์ Over-The-Air (OTA) ช่วยให้ผู้ใช้รถไม่เพียงสามารถอัปเดตระบบ Infotainment แต่ยังสามารถอัปเดตการทำงานของ ECU จากทางไกลได้ ผ่านทางระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว หรือผ่านทางแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน เพิ่มความสะดวกสบายโดยที่ไม่ต้องเข้าไปยังศูนย์บริการ

เสริมความมั่นใจในการใช้งานยิ่งขึ้น โดย ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่  มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน และทีมงานที่เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ด้าน e:HEV (e:HEV Expert) จากเครือข่ายศูนย์บริการฮอนด้าที่ได้มาตรฐานและครบวงจรครอบคลุมทั่วประเทศ

พิเศษ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เวลา 22.00 น.** รับฟรีบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท** เมื่อจองและรับรถภายในระยะเวลาที่บริษัทฯ กำหนด** สามารถจองสิทธิ์ผ่านที่ปรึกษาการขายฮอนด้าหรือที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

เตรียมพบกับการประกาศราคาและเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ในวันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2566 ผ่านทาง LIVE ถ่ายทอดสดออนไลน์ทางออฟฟิเชียลแอคเคานต์ “Honda Thailand” ในช่องทางFacebook และ YouTube Channel ตั้งแต่เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777

หมายเหตุ

*อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

***ราคาประมาณการยังไม่รวมราคาสีพิเศษ (มุก)

โตโยต้า เปิดศูนย์บริการรถยนต์ “ฟิกซ์ฟิต” แห่งใหม่ สาขาโลตัสพนัสนิคม

คุณรุ่งโรจน์ ขันชะลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นำคณะผู้บริหารร่วมแสดงความยินดีกับ คุณสุจินต์ สุระประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร บริษัท ฟิกซ์ฟิต อินเตอร์ ชลบุรี จำกัด ในโอกาสเปิดศูนย์บริการรถยนต์ ฟิกซ์ฟิต สาขาที่ 11 ณ โลตัสพนัสนิคม จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา

ศูนย์บริการรถยนต์ ฟิกซ์ฟิต สาขาโลตัสพนัสนิคม เปิดให้บริการทุกวัน 9.00-19.00น.

  • ตรวจเช็คฟรี 30 รายการ มั่นใจทุกการเดินทาง
  • ให้บริการครบวงจร ทั้งยาง น้ำมันเครื่อง แบตเตอรี่ เบรก โช้คอัพ ช่วงล่าง ล้างแอร์ ฯลฯ
  • แผนที่ตั้งสาขา https://goo.gl/maps/M3rixahxPHYqSugZ9
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 085-275-5222

Facebook FIXFIT โลตัสพนัสนิคม

Line @fixfitpanatnikhom หรือคลิก https://lin.ee/0ZrzNYh

เชิญลูกค้าในเขต อ.พนัสนิคม และพื้นที่ใกล้เคียงเข้ารับบริการ

พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดสาขาใหม่ ส่วนลดพร้อมรับของแถมฟรี (จำนวนจำกัด)

ระยะเวลาโปรโมชั่นฉลองสาขาใหม่ถึง 31 สิงหาคม นี้เท่านั้น

ติดตามข้อมูลฟิกซ์ฟิตสาขาอื่นๆ และโปรโมชั่นต่างๆ ได้ทาง

Facebook FIXFIT THAILAND และ Line @fixfitthailand หรือคลิก https://lin.ee/rlcarFa

ข้อมูลฟิกซ์ฟิตสาขาอื่นๆ และโปรโมชั่นต่างๆ สามารถติดตามได้ทาง Facebook FIXFIT THAILAND และ Line @fixfitthailand หรือคลิก https://lin.ee/rlcarFa

“เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ชวนชาวไทยร่วมทดลองขับรถยนต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เพื่อสัมผัสประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายเฉพาะในงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ ระหว่างวันที่ 17 – 18 มิถุนายน และ 24 – 25 มิถุนายนนี้

มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2561 ซึ่งมีแนวคิดในการออกแบบโดยดึงจุดเด่นที่เป็นดีเอ็นเอสำคัญของรถมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ผสมผสานกับความพรีเมี่ยมของรถคอมแพกต์เอสยูวี เป็นรถครอสโอเวอร์ ในรูปแบบที่ลงตัว เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของครอบครัวยุคใหม่ ที่ต้องการรถยนต์ที่มีห้องโดยสารกว้างขวาง ความอเนกประสงค์ครบครัน และสามารถขับขี่ไปได้ทุกจุดหมายตามที่ต้องการ นับเป็นจุดเริ่มต้นการเติบโตของตลาดรถครอบครัวอเนกประสงค์ในประเทศไทย และมีขนาดที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ซึ่งรถมิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ก็ยังคงสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถครอบครัวอเนกประสงค์มาอย่างต่อเนื่อง”

“เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้เปิดตัว มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ใหม่! ซึ่งตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ที่ชื่นชอบการผจญภัยและมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไร้ขีดจำกัด ด้วยดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ผสมความเป็น “เอสยูวี และ ครอสโอเวอร์” ไว้อย่างลงตัว มาพร้อมด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกใหม่สไตล์โฉบเฉี่ยว โดดเด่นทันสมัย สะท้อนความหรูหราผสานดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน พร้อมวัสดุคุณภาพสูงระดับพรีเมี่ยม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานหลากหลายของครอบครัวยุคใหม่ ที่รักการผจญภัยและชื่นชอบกิจกรรมเอาท์ดอร์” มร.โคอิโตะ กล่าว

“เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์อันเหนือระดับ ของรถครอสโอเวอร์ สำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงได้จัดงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ พร้อมจัดสนามทดสอบรถยนต์สุดพิเศษสำหรับชาวไทยได้มาร่วมทดลองขับรถยนต์ และสัมผัสกับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เพื่อค้นหาคันที่ใช่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ โดยภายในงานนี้ยังมีแคมเปญโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษมอบให้ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย” มร.โคอิโตะ กล่าวเสริม

งาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ จะจัดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 17 – 25 มิถุนายน 2566 รวมทั้งสิ้น 4 วัน 4 ภาค ปูพรมความสนุกให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินกับสมรรถนะเหนือระดับ ที่ตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและแตกต่าง ของ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส กับสนามทดสอบรถยนต์ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่มั่นใจเหนือชั้นยิ่งกว่า พร้อมผ่อนคลายด้วยเครื่องดื่มและของว่างจากคาเฟ่ร้านดังในพื้นที่ ฟรี! ตลอดวัน ตั้งแต่เวลา 10:00 น. ถึง 17:00 น. โดยมีรายละเอียด ดังนี้

วันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 17 – 18 มิถุนายน 2566

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ เซ็นทรัล โคราช จังหวัดนครราชสีมา

วันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 24 – 25 มิถุนายน 2566

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามได้ที่โชว์รูม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ใกล้บ้านท่าน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อมิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

“เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ ทดลองขับรถยนต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส
วันเสาร์และอาทิตย์ ที่ 17 – 18 มิถุนายน 2566 10.00 น. – 17.00 น.
ภาคจังหวัดสถานที่จัดงาน  พิกัดสถานที่ Google Map:ลิงก์ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน
ภาคใต้สงขลาคาเฟ่ อเมซอน ปั๊มปตท. คลองแห จังหวัดสงขลาhttps://goo.gl/maps/7FGHX4QDPP3aWCeP9www.mitsubishi-motors.co.th/th/xperiencedayplus-songkla
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนครราชสีมาเซ็นทรัล โคราช จังหวัดนครราชสีมาhttps://goo.gl/maps/HViYg3fexSxHYQq26www.mitsubishi-motors.co.th/th/xperiencedayplus-nakhonratchasima
วันเสาร์และอาทิตย์ ที่ 24 – 25 มิถุนายน 2566 10.00 น. – 17.00 น.
ภาคจังหวัดสถานที่จัดงาน  พิกัดสถานที่ Google Map:ลิงก์ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน
ภาคเหนือเชียงใหม่คารินแอนด์ชอร์ ไดนิ่ง แอนด์ ไอศกรีมเฮ้าส์ (Karin& Shor’s Dining and Ice-cream House) จังหวัดเชียงใหม่https://goo.gl/maps/YKXSx7VfGjWLnvkcAwww.mitsubishi-motors.co.th/th/xperiencedayplus-chiangmai  
ภาคกลางพระนครศรีอยุธยาโมโสโยเดีย คาเฟ่ แอนด์ บาร์ (MoSo Yodia Cafe & Bar) จังหวัดพระนครศรีอยุธยาhttps://goo.gl/maps/dS2rvNHLCmaGfbDs6https://www.mitsubishi-motors.co.th/th/xperiencedayplus-ayutthaya  

เปิดตัว “นิสสัน อัลเมร่า ใหม่” บุกตลาดคอมแพคซีดาน

นิสสัน ประเทศไทย เผยโฉม “นิสสัน อัลเมร่า ใหม่” คอมแพค ซีดานอัจฉริยะสุดปราดเปรียวจากนิสสันที่ได้รับความนิยมสูงมามากกว่าทศวรรษ มาพร้อมดีไซน์โดดเด่นสะดุดตามากขึ้นแบบ Next-generation V-motion ที่สะท้อนแนวคิดใหม่ในการออกแบบรถคอมแพค ซีดาน เทคโนโลยี NissanConnect Services เพื่อการเชื่อมต่อไร้สายระหว่างผู้ขับขี่และรถผ่านสมาร์ทโฟน  เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่จากรถหรูสู่คอมแพคซีดานยกระดับความปลอดภัย ขณะเดียวกันยังคงรักษาจุดเด่นของอัลเมร่าในฐานะรถยนต์ที่วางใจได้ กว้างขวาง และให้พลังที่น่าประทับใจภายใต้คอนเซป “แรงจริง จัดให้”  

อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย และประธาน นิสสัน อาเซียน กล่าวว่า “นิสสัน อัลเมร่า ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงมาตลอดและกลายเป็นสมาชิกของหลายๆ ครอบครัว  นับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบันมียอดจำหน่ายแล้วกว่า 240,000 คัน  ลูกค้าอัลเมร่าชื่นชอบทั้งจากสมรรถนะ ความสะดวกสบายของการใช้งาน และห้องโดยสารที่กว้างขวาง ฟังก์ชั่นครบ และวางใจได้ สามารถตอบสนองผู้คนได้ทุกไลฟ์สไตล์  นิสสัน ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ประทับใจให้แก่ลูกค้าจึงได้พัฒนารถยนต์ของเราอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรักษาจุดแข็ง และเพิ่มดีไซน์ที่ดูทันสมัยมากขึ้น การเชื่อมต่ออัจฉริยะ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”

“อัลเมร่าใหม่ คือหนึ่งในความตั้งใจของนิสสันที่จะช่วยให้ทุกการเดินทางของลูกค้าน่าตื่นเต้นและประทับใจ นิสสันขอขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุน เราพร้อมเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์เพื่อให้ลูกค้าบอกกับเราว่า YES! Nissan” 

นิสสัน อัลเมร่าใหม่ พร้อมให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ในราคาเริ่มต้น 549,000 บาท รวมทั้งสัมผัส ทดลองขับที่โชว์รูมทั้ง 162 แห่งทั่วประเทศตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป

เพิ่มลุคทันสมัยภายใต้ดีไซน์คอนเซปต์ Next-generation V-motion พร้อมสีใหม่ Gray Sky Pearl สุดคูล

นิสสันปรับปรุงโฉม อัลเมร่าใหม่ ให้ดูทันสมัย โดดเด่น สะท้อนแนวคิด Next-generation V-motion เทรนด์การออกแบบรถยนต์ในอนาคตของนิสสันได้อย่างชัดเจน โดย V-motion ไม่ได้จำกัดเฉพาะกระจังหน้าเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนดีไซน์ด้านหน้าทั้งหมดให้โดดเด่นขึ้น ทุกรายละเอียดตั้งแต่กระจังหน้า โลโก้ใหม่ กระโปรงหน้า ไปจนถึงเสา A-pillar มีความชัดเจนมากขึ้น ทรงพลัง ปราดเปรียวสื่อถึงความมีสไตล์และให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่น่าประทับใจ  แนวคิดการออกแบบ V-motion ยังคงลื่นไหลต่อเนื่องไปยังเส้นกรอบหลังคา ด้านข้าง และด้านหลัง สะดุดตาแม้จะมองจากระยะไกล  ส่วนภายในตัวรถ ยังมีการเพิ่มความทันสมัยกับการตกแต่งที่แผงคอนโซลหน้ารูปปีกที่สยายออก (gliding wing) และที่แผงประตูด้วยวัสดุสีน้ำเงินเข้ม เพิ่มความเก๋ ทันสมัย เสริมอารมณ์สปอร์ตให้กับห้องโดยสาร

นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ เพิ่มความน่าสนใจด้วยสีภายนอกใหม่ สีเทา เกรย์ สกาย เพิร์ล (Gray Sky Pearl) ที่ดูทันสมัย ซ่อนความพิเศษ โดยเปลี่ยนเฉดไปได้มากมายขึ้นกับช่วงเวลาและมุมที่มอง จากเงาเฉดสีม่วงในขณะที่แสงน้อยไปจนโทนสีฟ้ามากขึ้นในที่ที่มีแสงแดดจัด  และเมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเป็นสีทึบ แต่เมื่อเข้ามาใกล้จะมองเห็นเงาประกายมุกที่ซ่อนอยู่ นอกจากนี้ในช่วงที่เฉดสีดูเข้มขึ้น จะช่วยเน้นรูปลักษณ์ของรถที่ออกแนวสปอร์ต โฉบเฉี่ยวว่องไว

NissanConnect Services เพื่อการเชื่อมต่อที่ต่อเนื่องและปลอดภัย

NissanConnect Services* ด้วยความเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน แอปพลิเคชันอัจฉริยะนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมหรือสั่งการรถได้จากระยะไกล รวมทั้งเป็นครั้งแรกของเซกเมนท์ที่มีการติดตั้งฟังก์ชั่น SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันทีผ่านระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

นอกจากนี้ NissanConnect Services ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สื่อสารและควบคุมรถได้ด้วยระบบสั่งการระยะไกลต่าง ๆ ได้แก่ ระบบตรวจสอบสถานะการล็อกประตู   ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ระยะไกล  ระบบสั่งกะพริบไฟหน้า และสั่งระบบแตรระยะไกล  ที่ช่วยให้ค้นหาตำแหน่งของรถได้สะดวกแม้ในลานจอดรถที่มีรถแน่นขนัด  และ  My Car Finder หรือระบบค้นหาตำแหน่งรถ ซึ่งฟังก์ชันนี้จะช่วยค้นหา และนำทางไปยังรถได้ในทันที

แอปพลิเคชันอัจฉริยะนี้ ยังช่วยแจ้งเตือนสถานะของรถได้ด้วย เช่น ตรวจสอบการล็อกของรถ หรือตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถ การแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดการบำรุงรักษาตามระยะ การเตือนเมื่อใช้ความเร็วเกินกำหนด  การให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะทางและระยะเวลาที่ใช้รถ   นอกจากนี้ เมื่อสัญญาณกันขโมยทำงาน หรือเมื่อรถออกนอกพื้นที่ที่กำหนด แอปพลิเคชันนี้จะแจ้งไปยังเจ้าของรถทันที ทำให้สามารถจัดการได้ทันท่วงที  และสามารถติดตามตำแหน่งของรถได้ตลอดเวลา

นิสสัน ได้มอบสิทธิพิเศษในการใช้บริการ NissanConnect Services เป็นระยะเวลานานถึง 3 ปี แก่เจ้าของรถ อัลเมร่า ใหม่ ทุกคน  โดยเมื่อครบกำหนด 3 ปีลูกค้ายังสามารถสมัครและซื้อบริการนี้เพิ่มเติมได้ เพื่อให้สามารถใช้ และรับประโยชน์จากบริการนี้ได้อย่างต่อเนื่อง*

เทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ใน 360° SAFETY SHIELD ปลอดภัยทุกการเดินทาง  

นิสสันยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยใน นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ ไปอีกขั้น ด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ที่แต่เดิมจะมีในรถรุ่นพรีเมียม  ได้แก่ เทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System – TPMS) นับเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีนี้ในเซกเมนท์คอมแพคซีดาน ทำให้เจ้าของรถทราบแรงดันลมยางแต่ละเส้น รวมทั้งเตือนเมื่อลมยางต่ำหรือสูงกว่ากำหนด  เทคโนโลยีเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist – HBA) จะปรับไฟหน้าจากไฟสูงเป็นไฟต่ำทันทีเมื่อเซนเซอร์ตรวจจับได้ว่ามีรถสวนมา   และเทคโนโลยีแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning – LDW) ที่จะส่งสัญญาณเตือนด้วยไฟกะพริบและการสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถโดยไม่ได้ตั้งใจ

นอกจากนี้ นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ ยังคงมีเทคโนโลยีความปลอดภัย 360° Safety Shield ที่ให้การปกป้องเต็มพิกัดรอบคัน ได้แก่ เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ซึ่งจะเตือนเมื่อตรวจพบวัตถุกำลังเคลื่อนที่เข้ามาทางด้านหลังขณะกำลังถอย  เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitoring – IAVM) ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection – MOD)  เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW)  เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW)  และเทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)  สำหรับเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ให้การปกป้องสูงสุด ได้แก่ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts)  ถุงลมนิรภัย SRS 6 จุดเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย  เทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) ที่ช่วยให้รถทรงตัวได้มั่นคงในทุกสภาพถนนและเลี้ยวได้อย่างแม่นยำ  เทคโนโลยีเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System – ABS)  เทคโนโลยีกระจายแรงเบรก (Electronic Brake Force Distribution – EBD) และเทคโนโลยีเสริมแรงเบรก (Brake Assist)

ห้องโดยสารนั่งสบาย ฟังก์ชันครบ ดีไซน์ทันสมัย

นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ มาพร้อมฟีเจอร์ครบครันที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charger** เทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)  และกุญแจรีโมทอัจฉริยะดีไซน์ใหม่ทันสมัย

นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ ยังคงรักษาจุดเด่นเรื่องความสมดุลของพื้นที่ใช้สอย สำหรับผู้โดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ห้องโดยสารมีความกว้างขวาง มีพื้นที่เข่าทั้งสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า และด้านหลังที่มีระยะห่างนั่งสบาย เบาะนั่งคู่หน้าพรีเมียมวัสดุ QUOLE MODURE ไม่สะสมความร้อนแม้ในการเดินทางไกล ส่วนที่เก็บสัมภาระทางด้านหลัง ออกแบบให้สามารถบรรจุสัมภาระชิ้นใหญ่ เช่น ถุงกอล์ฟ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้สบาย  จึงตอบสนองความต้องการของคนที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในนิสสัน อัลเมร่า ใหม่

นอกจากนี้ ยังมี NissanConnect ระบบอินโฟเทนเมนต์ล่าสุดจากนิสสัน รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android Auto** และ Apple CarPlay รวมทั้งยังสามารถใช้ระบบนำทางผ่าน Google Map ได้สบาย ๆ บนจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว เครื่องเสียง และระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ เพิ่มความสุนทรีย์ในทุกการเดินทาง

เครื่องยนต์เทอร์โบ 1 ลิตร “แรงจริง” สนุกทุกการขับขี่ ประหยัดอย่างน่าประทับใจ

นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดถึง 100 แรงม้า (Ps) และแรงบิด 152 นิวตันเมตร (Nm) ให้อัตราเร่งที่แรง และรวดเร็วจากแรงบิดแบบต่อเนื่อง (flat torque) นอกจากนี้ยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถหยุดนิ่ง (Idling Stop) ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้น่าทึ่งในอัตรา 23.3 กิโลเมตร/ลิตร***

เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร นี้ ยังมีนวัตกรรมทางเทคนิคมากมาย เช่น ลูกสูบแบบ Delta Cylinder Head   หัวฉีดแบบ Central Injector และ Turbocharger ที่การควบคุมไอเสียด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีเคลือบบนกระบอกสูบแบบ Mirror Bore Coating เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง Nissan GT-R ซึ่งเพิ่มความทนทาน ช่วยลดการสึกหรอ และน้ำหนักของกระบอกสูบ ในขณะที่ปรับปรุงเรื่องการระบายความร้อน และการเผาไหม้ได้ดียิ่งขึ้น  ระบบเกียร์เป็นแบบ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่องและทันใจ อัตราเร่งที่ดีขึ้นจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และปลอดภัยเมื่อต้องเร่งแซง 

รุ่น สี และราคา

นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ มี 4 รุ่นย่อย ได้แก่ E, EL, V และ VL  และมีสีตัวถังภายนอกทั้งแบบสีเดียวทั้งคัน (ทุกรุ่น) และสีทูโทน***** (เฉพาะรุ่น VL) ได้แก่ สีขาว สตอร์ม ไวท์   สีดำ แบล็ค สตาร์  และ สีเทา กัน เมทาลิค (ทุกรุ่น)  สีแดง เรเดียนท์ เรด สีน้ำเงิน ไนท์ บลู  (รุ่น VL, V, EL) สีเทา เกรย์ สกาย เพิร์ล (รุ่น VL และV)  และสีทูโทนสำหรับรุ่น VL ได้แก่ สีเทา เกรย์ สกาย เพิร์ล  หลังคาสีดำเงา,   สีเทา กัน เมทาลิค หลังคาสีดำเงา,  และสีขาว สตอร์ม ไวท์ หลังคาสีดำเงา

นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ มีราคาจำหน่าย ดังนี้

รุ่น E     549,000 บาท

รุ่น EL   589,000 บาท

รุ่น V     659,000 บาท

รุ่น VL   699,000 บาท

นิสสันได้จัดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษให้ลูกค้าเลือกเพื่อเสริมบุคลิกและสไตล์ได้อย่างตรงใจ ได้แก่  1) ชุดแต่ง Ignite Package ที่เพิ่มลุคสปอร์ตด้วยชุดสเกิร์ตหน้า ชุดสเกิร์ตข้าง และสเกิร์ตหลัง สีเดียวกับตัวถังตัดกับสีดำเงาพรีเมียม เสริมด้วยสปอยเลอร์หลังสีดำเงาพรีเมียมทรง Duck tail 2) ชุดแต่ง Iconic Package เติมความเท่ด้วยกระจังหน้าสีดำ ชุดตกแต่งหลังคาทรงครีบฉลาม ชุดแป้นวางเท้าแบบสปอร์ต พรมปูพื้น และคิ้วบันไดสเตนเลส  และ 3) ชุดแต่ง Ultimate Package ที่ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมเต็มพิกัด มาพร้อมชุดแต่งภายนอกด้วยชุดสเกิร์ตด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง พร้อมสปอยเลอร์หลังทรง Ducktail  กระจังหน้าและชุดตกแต่งหลังคาทรงครีบฉลามสีดำ พร้อมด้วยชุดตกแต่งภายในสไตล์สปอร์ต ได้แก่ ชุดแป้นวางเท้าแบบสปอร์ต พรมปูพื้น และคิ้วบันไดสเตนเลส   นอกจากนี้ยังเสริมอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ Stylish Package ทั้งหมดนี้จะเติมความสปอร์ตและพรีเมียมภายในห้องโดยสารมากขึ้นด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ที่บริเวณแผงประตู และขอบประตูสีเงิน

ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษของนิสสัน อัลเมร่า ใหม่

Iconic Package           11,900 บาท

Ignite Package            19,990 บาท

Ultimate Package        29,990 บาท

บริการหลังการขาย การรับประกัน

ลูกค้าอัลเมร่า ใหม่ยังคงความอุ่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพเป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร โดยชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษของแท้จากนิสสันจะได้รับการรับประกันคุณภาพในเงื่อนไขเดียวกัน 

พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอโปรโมชั่นพิเศษ**** สำหรับลูกค้าที่จองรถในช่วงเปิดตัว จะได้รับสิทธิพิเศษครบครันให้เลือกตามที่ต้องการ ทั้งเงินดาวน์ 0% หรือ ผ่อนสบายๆ ต่อเดือนเริ่มต้น 5,977 บาท หรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%  รวมถึงประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection (NPP) ระยะเวลา 1 ปี พร้อมส่วนลดเงินสด 10,000 บาทสำหรับลูกค้าเก่า และอนุมัติสินเชื่อใน 30 นาที  นอกจากนี้ นิสสันยังได้เตรียมแคมเปญการสื่อสารแบบ 360 องศาที่จะเน้นย้ำไฮไลต์ของอัลเมร่าใหม่ ตามสโลแกน “แรงจริง จัดให้” อีกด้วย

หมายเหตุ

* สิทธิพิเศษในการใช้บริการ NissanConnect Services เป็นระยะเวลา 3 ปี* (ระยะเวลาของการให้บริการจะเริ่มในวันเริ่มต้นการรับประกัน) สำหรับรุ่นรถที่รองรับ  และต่ออายุสมาชิกก่อนสิ้นสุดระยะเวลารับบริการ เพื่อรับประโยชน์จากบริการได้อย่างต่อเนื่อง

** สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ

*** จากการทดสอบตามมาตรฐาน UNECE Reg 101 Rev.2, NEDC Mode (หรือผสม)

**** ขึ้นกับเงื่อนไขของบริษัทฯ

‘***** สีเทา กัน เมทาลิค เพิ่ม 5,000 บาท สีขาว และ สีเทา เกรย์สกายเพิร์ล เพิ่ม 10,000 บาท และ สีหลังคาแบบทูโทนเพิ่ม 5,000 บาท จากสีตัวถัง

มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ ร่วมกับพันธมิตรแถลงผลงานโครงการบริหารจัดการข้อมูลจราจรบนถนนพระราม 4

มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) ซึ่งเป็นมูลนิธิอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไร ร่วมกับพันธมิตรได้แก่ กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิธีปิดโครงการพระราม 4 โมเดล: การปลดล็อคข้อมูลการจราจรเพื่ออนาคตที่ดีกว่า (พระราม 4 โมเดล) เพื่ออธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้และข้อเสนอแนะจากโครงการที่ดำเนินการมากว่า 3 ปี โดยการใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลางเพื่อหาแนวทางลดปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ โครงการดังกล่าวเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยมุ่งเน้นที่ถนนพระราม 4 เป็นพื้นที่ทดลองทำการรวบรวมข้อมูล และหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพในการลดปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการจราจร

ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายมนตรี เดชาสกุลสม และ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีปิด รับทราบผลการดำเนินงานของโครงการ และได้แสดงความคิดเห็น รวมถึงแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ ที่ได้ร่วมงาน ได้แก่ มร. ปาซานา คุมาร์ กาเนซ ผู้อำนวยการโครงการมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ ดร. จิตติศักดิ์ ธรรมาภรณ์พิลาศ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต จิรสันต์ แก้วแสงเอก ดร.ศุภิชัย ตั้งใจตรง ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการจุฬายูนิเสิร์ช จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นางสาวสตตกมล เกียรติพานิช ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 2 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

โครงการพระราม 4 โมเดล เป็นโครงการต่อเนื่องจาก “โครงการสาทรโมเดล” และดำเนินการโดยทีมงานเดียวกันตั้งแต่ปี 2558-2560 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากการดำเนินมาตรการแก้ปัญหาอันหลากหลาย บริการถรับส่ง Smart Shuttle Bus การเหลื่อมเวลาทำงาน บริการจอดแล้วจร (Park & Ride) และนำมาสู่ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ปัญหาการจราจร และนำเสนอแก่หน่วยงานรัฐและกรุงเทพมหานครเพื่อขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพ  และมาตรการหลายๆ อย่างเช่น การจัดช่องจราจรพิเศษ ซึ่งยังคงดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน

แนวทางดำเนินงานและวัตถุประสงค์

โครงการสาทรโมเดลดำเนินการประสบความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามเป็นการดำเนินการที่อาศัยวิธีการลองผิดลองถูกจากสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ทางพันธมิตรเชื่อว่ามีวิธีการที่ถูกต้องและแม่นยำมากกว่า โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการจัดการจราจร พระราม 4 โมเดลจึงเกิดขึ้นโดยเป็นโครงการที่ออกแบบโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ เพื่อศึกษาและทดสอบความสามารถในการใช้วิธีแก้ปัญหาขั้นสูง โดยใช้ข้อมูลที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางเพื่อแก้ปัญหาการจราจรบนถนนพระราม 4 สาเหตุที่เลือกถนนเส้นนี้เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการจราจรคับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และเป็นพื้นที่ที่ทางภาครัฐให้ความสำคัญ โดยมีมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ ให้การสนับสนุนเงินทุน จำนวน 52 ล้านบาท และคาดหวังผลลัพธ์ใน 3 ประการ

  1. ใช้ข้อมูลเพื่อแสดงภาพข้อมูลการจราจรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงของชุดข้อมูลต่างๆ
  2. ระบุสาเหตุที่แท้จริง และแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ของการจราจรติดขัด และเหตุการณ์ต่างๆ โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกจากชุดข้อมูลต่างๆ และตรวจสอบความถูกต้องโดยการวัดเชิงคุณภาพ
  3. สรุปและแบ่งปันสิ่งที่เรียนรู้ และข้อเสนอแนะในแง่ของวิธีการ/หลักการแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง

1. การรวบรวมข้อมูลและการแสดงภาพทางกราฟฟิก (Visualization)

ในขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการรวบรวมข้อมูล เช่น CCTV-AI (13 จุด) เซนเซอร์บลูทูธ (50 ตัว) และเซนเซอร์ NDRS (10 เครื่อง) นอกจากนี้บริษัทแกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด และมูลนิธิ iTIC  ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านข้อมูล ได้ช่วยเหลือในการให้ข้อมูล GPS รถแท็กซี่แก่โครงการ ด้วยผลกระทบของโควิด 19 ทำให้ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลได้รับผลกระทบเกิดความล่าช้า แต่ท้ายสุดทางทีมงานก็สามารถดำเนินการติดตั้งและเก็บรวมข้อมูลที่จำเป็นได้สำเร็จ

ด้วยความเชี่ยวชาญของทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและแนวทางการแก้ปัญหาและการจัดการแบบลีน (ลดการสูญเปล่า) ของโตโยต้า เราได้พัฒนา Data Visualization Platforms (รูปที่ 1) เป็นส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหาในการวางแผนการจราจรในกรุงแทพ และเพื่อสนับสนุนการจัดการจราจรแบบเรียลไทม์โดยตำรวจจราจร ทีมงานได้พัฒนา “ข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์” (real-time traffic data) หรือ war room” ซึ่งจะมีข้อมูลจราจรต่างๆ เพื่อทำให้ตำรวจจราจรสามารถมองเห็น เข้าใจสภาพการจราจร ทำให้บริหารจัดการการจราจรได้ดีขึ้น ตัวอย่างของการแสดงภาพจากแพลตฟอร์มใหม่ เช่น

100 จุดฝืด (100 friction points) : รวบรวมข้อมูลย้อนหลังผ่าน GPS Probe ทำให้สามารถจำแนกระดับของการจราจรที่ติดขัดได้อย่างแม่นยำ และแสดงภาพความเร็วการจราจรเป็นกิโลเมตร/ชั่วโมงตามช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น และจัดอันดับเป็น 100 อันดับแรกเพื่อสนับสนุนทางกรุงเทพมหานคร ในการจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ในการแก้ไขปัญหา

Historical Speed Map: แสดงข้อมูลความเร็วในอดีต ช่วยให้วิเคราะห์ตามโซนและถนนแต่ละเส้นได้ สามารถเลือกแสดงผลได้จาก 3 ตัวเลือก 1) Free-Flow Speed (FFS), 2) Travel Time Index (TTI) และ 3) Road Segment Speed

Travel Time Map : แสดงข้อมูลเวลาที่ใช้ในการเดินทางในอดีต ทำให้เห็นสภาพการจราจรในวัน และเวลาต่างๆ

Origin Destination Maps (OD-Maps): OD Maps แสดงภาพการเดินทางระหว่างจุดต้นทาง และปลายทางของการเดินทางที่เลือก ข้อมูลเส้นทางการเดินทางและปริมาณการเดินทางดังกล่าวช่วยในการบริหารจัดการการจราจรและหาแนวทางแก้ไข การเลือกและศึกษาตามวันที่และเวลาที่สนใจจะสามารถทำให้การวางแผนมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การเลือกโดยการเจาะจงต้นทางหรือปลายทางที่คนนิยมใช้เดินทาง ณ ชั่วโมงที่กำหนดของวันนั้นๆ  ก็สามารถนำมาสู่การวางแผนระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้นหรือ share mobility

รูปที่ 1: (ซ้าย) เว็ปไซต์ Data Visualization Platform (กลาง) Dashboard – 100 Friction Points , (ขวา) Dashboard-Travel Time Map

2. ระบุสาเหตุของปัญหาการจราจรและเหตุการณ์ต่างๆ

จากการหาข้อมูลเบื้องต้น ทำให้ทราบว่ามี 3 จุดที่รถติดมากที่อยู่บนถนนพระราม4 และเชื่อมต่อกับพระราม 4 ซึ่งทำให้การจราจรติดขัด (รูปที่ 2)

รูปที่ 2 จุดที่มีปัญหาการจราจรบนถนนพระราม 4 ที่ระบุด้วยเครื่องมือ Data Visualization (ซ้าย) พื้นที่พระโขนง (กลาง) พื้นที่อ่อนนุช (ขวา) พื้นที่เกษมราษฎร์

A. พื้นที่พระโขนง (เชื่อมต่อกับพื้นที่อ่อนนุช):

จุดที่เป็นคอขวดคือบริเวณซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ย่านอ่อนนุช จากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ทำให้ทราบว่ามีสาเหตุมาจากการข้ามทางม้าลายของคนเดินเท้าอยู่ตลอดเวลา และการจอดรถของวินมอเตอร์ไซด์และรถสองแถว (ดูรูปที่ 3) ดังนั้น ในส่วนหนึ่งของการทดลองทางสังคมของเรา จึงดำเนินมาตรการหลักสองประการ ก) จัดระเบียบคนข้ามถนนที่ทางม้าลาย และ ข) ย้ายตำแหน่งที่จอดรถของรถสองแถวให้ห่างจากหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ออกไป ด้วยมาตรการเหล่านี้ เราสามารถลดเวลาการข้ามถนนบนทางม้าลายได้ 23 นาทีในช่วงเวลาเร่งด่วน (15.00-18.00 น.) และทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น 10%

รูปที่ 3 : (บน) คอขวดพื้นที่อ่อนนุชบริเวณซูเปอร์มาร์เก็ต (คนข้ามทางม้าลาย & การจอดรถสองแถว) (ล่าง) ผลการทดลองทางสังคม

ข้อเสนอแนะ : จากผลการทดลองทางสังคม ทีมงานได้เสนอข้อเสนอแนะการจัดการการจราจรหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ หรือการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรอัตโนมัติและสอดคล้องกับสัญญาณไฟที่แยกอ่อนนุช และการพิจารณาจุดจอดที่เหมาะสมสำหรับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง (รูปที่ 4)

รูปที่ 4 : ข้อเสนอแนะสำหรับพื้นที่อ่อนนุช (ซ้าย) การติดตั้งสัญญาณไฟที่บริเวณทางม้าลาย (ขวา) หาจุดจอดที่เหมาะสมสำหรับวินมอเตอร์ไซด์

B. พื้นที่เกษมราษฎร์:

เนื่องจากสภาพทางกายภาพของถนนที่แคบ (เป็นวงเล็กๆ จากแยกม้าศึกไปยังถนนพระราม 4) และมีการตัดกันของกระแสรถที่วิ่งออกมาจากซอยสุขุมวิท 22 และถนนพระราม 4 จึงทำให้เกิดปัญหารถติดขัดบ่อยครั้งในแยกม้าศึกและเกษมราษฎร์ จากการศึกษาสิ่งที่จะช่วยให้การจราจรดีขึ้นคือ การประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพของตำรวจที่แต่ละแยก ทำให้ตำรวจมีข้อมูลของสภาพการจราจรมากขึ้น เพื่อให้จัดการการจราจรได้ดีขึ้น (รูปที่ 5) ทางโครงการจึงได้จัดกิจกรรม Knowledge Management ด้านการจราจรหลายครั้ง (เพื่อให้การประสานงานระหว่างตำรวจแต่ละแยกให้ดีขึ้น) และติดตั้งจอแสดงข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ (รูปที่ 6) ตลอดพื้นที่พระราม4 (เช่น ข้อมูลสัญญาณไฟจราจร ข้อมูลอุบัติการณ์ต่างๆ แผนที่สภาพการจราจร และกล้องวงจรปิด) ส่งผลให้เราสามารถลดระยะเวลาความผิดปกติของการเปิดสัญญาณไฟโดยเฉลี่ย 10% ต่อวัน (รูปที่ 7)

รูปที่ 5 : (ซ้าย) การควบคุมสัญญาณไฟจราจรโดย AI และตำรวจที่แยกเกษมราษฎร์ (ขวา) การเปรียบเทียบ Jam Length จากการควบคุมสัญญาณไฟระหว่าง AI และ ตำรวจ

ภาพที่ 6 : (ซ้าย) ภาพกิจกรรม Knowledge Management กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ขวา) ตำรวจบริหารการจราจรโดยการใช้ข้อมูลจราจรแบบ real-time

รูปที่ 7 : ผลการปรับปรุงของ “ระยะเวลาความผิดปกติของการเปิดสัญญาณไฟต่อวัน” ซึ่งเป็นผลจากการติดตั้ง Traffic War Room และกิจกรรม KM

นอกจากนี้ ห้องควบคุมการจราจรแบบเรียลไทม์ที่ติดตั้งอยู่ 12 ป้อมตำรวจในโครงการพระราม 4 ได้ถูกส่งมอบให้กับตำรวจจราจร เพื่อจะนำไปใช้บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ต่อไป ภายหลังสิ้นสุดการทดลองใช้ในโครงการพระราม 4 โมเดล

C. พื้นที่ฝั่งตะวันตก

เนื่องด้วยข้อจำกัดในการมองเห็นสภาพการจราจรและเหตุการณ์ต่างๆ บนสะพานไทย-ญี่ปุ่น ทำให้ตรวจพบปัญหาที่เกิดขึ้นบนสะพานได้ล่าช้า ทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด และขยายไปยังพื้นที่และถนนเส้นอื่นๆ  โครงการจึงทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อตรวจจับเหตุการณ์ความผิดปกติบนสะพานไทย-ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถเสียหรือรถชน และเมื่อตรวจพบระบบจะทำการแจ้งเตือนตำรวจจราจรที่ป้อมสามย่านทันที (รูปที่ 8)

รูปที่ 8 : การติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณสะพานไทย-ญี่ปุ่น ถนนพระราม 4 และภาพการตรวจจับอุบัติการณ์ด้วยกล้อง CCTV-AI

3. สรุปข้อค้นพบและข้อเสนอแนะในแง่ของระเบียบวิธี

ทีมงานโมเดลพระราม 4 ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของการจัดการจราจรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่านโครงการนี้อย่างชัดเจน การใช้ข้อมูลในอดีตสำหรับดูแนวโน้มที่สามารถรองรับการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการจราจร เช่น เวลาเปิด-ปิดสัญญาณไฟ หรือตารางเวลาและเส้นทางของระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่มีอย่างเหมาะสมก็สามารถช่วยสนับสนุนการจัดการจราจรและบังคับใช้ รวมถึงการจัดการเหตุการณ์ต่างๆ และความผิดปกติที่เกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการที่จะมีแพลตฟอร์มในการแชร์ข้อมูลแบบเปิดมากขึ้นและประสานความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผลการวิจัยที่ได้จากโมเดลพระราม 4 ถูกรวบรวมและจัดพิมพ์ในรูปแบบ e-Book เพื่อแบ่งปันให้องค์ความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ

รูปที่ 9: ลิงค์สำหรับการดาวน์โหลด   e-Book (มีเพียงภาษาไทยเท่านั้น) https://service.rama4model.in.th/documents/eBook_Rama4Model.pdf

ทีมงานยังได้ตระหนักถึงความท้าทายบางประการที่พบในโครงการนี้ ได้แก่:

(a) การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้งาน: ในปัจจุบัน แม้ว่าเราจะมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับวิธีการรวบรวมและใช้ประโยชน์จากข้อมูล แต่การได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอและการจัดเก็บข้อมูลก็ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย อีกทั้งยังมีราคาแพง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล (เช่น กล้องวงจรปิดพร้อม AI) และร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ซึ่งมีข้อมูลที่จำเป็น รวมถึงมีแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกันเพื่อแบ่งปันข้อมูล

(b) การแบ่งปันข้อมูล: เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาแนวทางการแบ่งปันข้อมูล (มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเหมาะสม) กับหน่วยงานเอกชนหรือภาครัฐที่ต้องการทำงานด้านการจัดการการรับ-ส่งข้อมูล แนวทางการแบ่งปันข้อมูลแบบเปิดจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม

(c) ความเชี่ยวชาญและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล: จำเป็นต้องลงทุนเพื่อพัฒนานักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (data scientist) และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการจราจร (ร่วมกับการวางผังเมือง) ซึ่งควรได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาเพื่อศึกษาข้อมูล ทำงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์และแบบจำลอง และสร้างการใช้งานที่หลากหลาย เพื่อปรับปรุงการจัดการจราจรของเมืองอย่างต่อเนื่อง

(d) การบังคับใช้: มีความจำเป็นต้องมีกับการบังคับใช้การจัดการจราจรที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าการฝ่าฝืน (โดยเฉพาะการจอดรถ พฤติกรรมการขับขี่ ฯลฯ) และอุบัติการณ์ต่างๆ จะลดลง ซึ่งจะเป็นการลดจุดที่มีปัญหารถติดทำให้รถติดน้อยลง

เมื่อภายหลังสิ้นสุดโครงการแล้ว พันธมิตรบางท่านได้แสดงความคิดเห็นต่อโมเดลพระราม 4 ดังนี้

ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “การแก้ปัญหาการจราจรถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทางกรุงเทพมหานครให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของชาวกรุงเทพฯ ดีขึ้น นั่นคือเหตุผลที่เราพยายามมุ่งเน้นส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและข้อมูล เพื่อให้การจัดการจราจรมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนี้ เราได้ริเริ่มนโยบายต่างๆ เพื่อปรับปรุงการจราจร การจัดตั้งศูนย์ควบคุมการจราจร (Traffic Command Center) และการจัดการจราจรอัจฉริยะ รวมถึงการใช้ Big data และ AI ซึ่งในโครงการพระราม 4 โดยมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายเหล่านี้ และได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงประโยชน์ของข้อมูลเชิงลึกและการจัดการด้วยข้อมูลโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human Centric Data Driven Insight and Management) เพื่อปรับปรุงสภาพการจราจรและการบริหารจัดการ ผมขอขอบคุณมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี และผมได้สั่งการให้กทม.ดำเนินการและขยายผลแนวทางแก้ไขไปยังพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพมหานครต่อไป”

รศ.ดร. สรวิศ นฤปิติ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความภูมิใจมากที่ได้ร่วมเข้าทำงานกับ TMF และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ภายใต้โครงการพระราม 4 โมเดลเพื่อสร้างต้นแบบของการใช้วิชาการเพื่อสร้างกระบวนการคิด และการนำเทคโนโลยีข้อมูล มาทำให้เห็นเป็นรูปธรรม เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม  ทำให้เกิดการเรียนรู้ นำไปขยายผลปฏิบัติใช้ในวงกว้างในประเทศ และ เป็นตัวอย่างที่ดีของเมืองต่างๆ ของโลกต่อไป”

มร. ปาซานา คุมาร์ กาเนซ ผู้อำนวยการมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ กล่าวว่า “มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ ดำเนินงานภายใต้หลักการ 3 ข้อ คือ นวัตกรรม ความยั่งยืน และความร่วมมือ และด้วยจุดมุ่งหมายเหล่านี้เพื่อส่งเสริม Mobility for All วิธีการแก้ปัญหาการจราจรแบบเดิมที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้และทำอยู่ในหลายๆ ประเทศ คือ การแก้ปัญหาผ่านกระบวนการลองผิดลองถูก ข้อมูลที่มีการตรวจสอบเชิงคุณภาพโดยยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางจะช่วยให้เราสามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดและบรรเทาผลกระทบที่ตรงกับสภาพความเป็นจริง และลักษณะเฉพาะของแต่ละเมือง แม้ว่าโครงการของเราจะเป็นโครงการทดลอง แต่เราได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำมากมายที่เราเชื่อว่าจะช่วยพัฒนาศาสตร์ของการจัดการจราจรและการวางผังเมืองด้วยการใช้ข้อมูล เราเชื่อในการทำงานร่วมกันโดยใช้ข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกจากมนุษย์ในการระบุและขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนและสินค้าเดินทางได้อย่างอิสระซึ่งโครงการนี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเราขอขอบคุณพันธมิตรของเราทั้งหมด กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด มูลนิธิ ITIC บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งการสนับสนุนอันล้ำค่าทำให้โครงการนี้เป็นรากฐานสำหรับความพยายามขับเคลื่อนข้อมูลในอนาคต”

เกี่ยวกับมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้

มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2557 โดย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (TMC) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสังคมเพื่อให้ทุกคนสามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ ทางมูลนิธิฯ ใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของโตโยต้าเพื่อสนับสนุนระบบการเดินทางให้มีความแข็งแกร่ง และขจัดความเหลื่อมล้ำในการเดินทาง TMF ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย รัฐบาล องค์กรไม่แสวงผลกำไร สถาบันวิจัย และองค์กรอื่นๆ ดำเนินการโครงการต่างๆ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) เพื่อจัดการกับปัญหาด้านการเดินทางทั่วโลก

ก้าวต่อไป กลุ่มบริษัทโตโยต้าจะยังคงใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่สั่งสมผ่านกิจกรรมทางธุรกิจ ตลอดจนความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่สอดคล้องกับแนวคิดของ SDGs (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ โดยภาพรวมแล้ว กลุ่มบริษัทโตโยต้ามีเป้าหมายที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ช่องทางการติดต่อ
ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ : มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ อีเมล :[email protected]

โตโยต้า เดินหน้าสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนเปิดตัวรถยนต์พลังงานทางเลือก BEV “TOYOTA bZ4X”

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเปิดตัวรถยนต์นั่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) รุ่นแรกภายใต้แบรนด์โตโยต้ากับ TOYOTA bZ4X สู่ตลาดประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่ายานยนต์ไฟฟ้า กับการเป็นยนตรกรรมที่มาจาก TOYOTA DNA (Beyond Electric Experience, Toyota DNA) ซึ่งได้รับการยอมรับจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน ภายใต้ปรัชญาในการพัฒนารถด้วยองค์ประกอบของ QDR ได้แก่ Quality : คุณภาพ Durability : ความทนทาน และ Reliability : ความน่าเชื่อถือ ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ที่ครอบครองรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่โดดเด่นเหนือระดับรุ่นนี้ จะได้รับสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่า ขับสนุก (Fun-to-Drive) ตอบสนองฉับไว แม่นยำในการขับเคลื่อน ด้วยโครงสร้าง e-TNGA ซึ่งเป็น Platform ใหม่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้าโดยเฉพาะ

ที่สำคัญ มีจุดเด่นด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ทนต่อแรงบิดสูง แข็งแกร่ง เสริมการปกป้องตัวแบตเตอรี่ ทำงานควบคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ใหม่ “X-Mode”  ที่ช่วยควบคุมการกระจายแรงขับที่ล้อ เบรก และคันเร่ง ในทุกสภาพเส้นทาง ยิ่งไปกว่านั้นยังมอบความมั่นใจสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense 3.0 ใหม่ล่าสุด กับระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ Intelligent Parking Assist ทำงานอัตโนมัติ เพียงเลือกโหมด ให้การจอดเทียบ และเข้าช่องจอดง่ายดั่งใจ ไร้กังวลด้วยความพร้อมด้านการบริการหลังการจำหน่าย กับเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตลอดจน การจัดเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BEV และความพร้อมของทีมบุคลากรทั้งช่างเทคนิค และผู้ชำนาญการด้านยานยนต์ไฟฟ้า TOYOTA bZ4X เปิดรับจองสิทธิ์ผ่านระบบ Online เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ศกนี้

[พันธกิจของโตโยต้าทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน]

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “โตโยต้ามุ่งบรรลุพันธกิจสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 หากแต่โลกที่เราอาศัยอยู่นั้น เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งยังเป็นยุคสมัยที่ยากจะคาดเดาอนาคตได้ ดังนั้น โตโยต้าจึงเตรียมทางเลือกของเทคโนโลยีให้มากที่สุด เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าโตโยต้าทั่วโลก ทั้งนี้ โตโยต้าได้ริเริ่มหลักการเตรียมความพร้อมในหลากหลายทางเลือก หรือ Multi Pathway Approach เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยนำเสนอหลากหลายเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฮบริด HEV: Hybrid Electric Vehicle รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด PHEV: Plug-in Hybrid Electric Vehicle รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า BEV: Battery Electric Vehicle  รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน FCEV: Fuel Cell Electric Vehicle และทางเลือกด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ภายใต้หลักการเพื่อมุ่งสร้างความสุขผ่านการขับเคลื่อนสำหรับทุกคน Mobility for all โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง Leave No One Behind”

“ในโอกาสครบรอบ 60 ปีการดำเนินงานของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เราได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกระบวนการต่างๆ หรือCarbon Footprint  เริ่มจากการบุกเบิกยนตรกรรมไฟฟ้าระบบไฮบริดใน TOYOTA CAMRY ในทศวรรษที่ผ่านมา และได้นำเสนอรถอีกหลายรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริด โดยรถเหล่านั้นมีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมาก  ปัจจุบันยอดจำหน่ายรถไฟฟ้าของโตโยต้าในประเทศไทยกว่า 150,000 คัน ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซด์กว่า 800,00 ตัน หรือเทียบเท่ากับพื้นที่ 97,000 ไร่ หรือต้นไม้กว่า 2.4 ล้านต้น ภายใต้หลักการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน”

“วันนี้ เรามีความยินดีที่จะแนะนำ TOYOTA bZ4X รถยนต์พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า BEV รุ่นแรกที่จำหน่ายภายใต้แบรนด์โตโยต้า รถรุ่นนี้จะเข้าร่วมนโยบายส่งเสริมโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นนโยบายของทางภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย”

[Toyota bZ4X… Beyond Zero]

TOYOTA bZ4X คือ รถยนต์นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) ประเภท SUV  ขนาดกลาง หนึ่งในยนตรกรรมแห่งอนาคตใหม่ล่าสุดจากโตโยต้า ภายใต้โครงการ TOYOTA bZ

TOYOTA bZ มีนิยามมาจากคำว่า Toyota Beyond Zero” รถยนต์ไฟฟ้าซีรีย์ใหม่ล่าสุดจากโตโยต้า พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อให้เป็นยนตรกรรมที่ไม่ใช่แค่รถที่ช่วยลดปริมาณมลพิษ แต่จะเป็นรถที่นำเสนอการขับเคลื่อนแห่งความสุขที่มีคุณค่าเหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าผู้ที่เลือกเป็นเจ้าของ ด้วยความสุขตลอดการขับขี่ ภายใต้แนวคิดในการเป็น “ศูนย์รวมกิจกรรมแห่งความสุข (Activity Hub)” สำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร รวมถึงสังคม และผู้คนรอบตัวในหลากหลายด้าน ภายใต้หลักการในการออกแบบที่มุ่งเน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง (Human Centric) ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นเพื่อบรรเทาปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลก ผ่านยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV: Zero Emission Vehicle) มอบสมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย นุ่มนวล และสนุกยิ่งกว่าเคย พร้อมสร้างคุณค่าแห่งประสบการณ์รูปแบบใหม่ในมุมมองของลูกค้าที่เหนือกว่า ด้วยการปลดปล่อยมลพิษที่มีค่าเป็นศูนย์  ดังนี้

  1. คุณกับผู้คนรอบข้าง (You & Others) นอกจากห้องโดยสารที่สะดวกสบายแล้ว TOYOTA bZ ยังนำเสนอไลฟ์สไตล์ใหม่ และสามารถสร้างโอกาสในการใช้เวลาอันมีค่ากับครอบครัว และเพื่อนของคุณ กับพื้นที่กว้างขวาง พร้อมวัสดุซับเสียงประสิทธิภาพสูง
  2. คุณกับรถของคุณ (You & Your Car) มอบความสุข ประสบการณ์ในการขับขี่ และความตื่นเต้นอย่างเหนือความคาดหมาย ด้วยการใช้แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า e-TNGA ครั้งแรกของโตโยต้าที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ กับการติดตั้งแบตเตอรี่ใต้ท้องรถ และเทคโนโลยีระบบส่งกำลัง E-axle ครั้งแรกของโตโยต้า ที่ส่งผ่านแรงขับเคลื่อนไปยังเพลารถโดยตรง เพียบพร้อมด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัย และโครงข่ายระบบเชื่อมต่อไร้พรมแดน ให้ประสบการณ์การขับขี่ปลอดภัย มีเสถียรภาพ และสนุกยิ่งกว่าเคย  
  3. คุณกับสิ่งแวดล้อม (You & the Environment) ไม่เพียงแต่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมลพิษอื่นๆ ยังมุ่งหวังที่จะมีส่วนร่วมในเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
  4. คุณกับสังคม (You & Society) มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมแห่งความปลอดภัยที่ทุกคน และสังคมจะมีความอุ่นใจกับยนตรกรรมแห่งอนาคตรุ่นนี้

TOYOTA bZ4X ได้รับการออกแบบให้ตัวรถมีลักษณะโดดเด่น ฐานล้อที่ยาว การออกแบบภายในกว้างขวางเทียบเท่ารถ D Segment จัดวางตำแหน่งแผงหน้าปัดด้านหน้าอยู่ในระดับต่ำ พื้นที่บริเวณที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังกว้าง ให้ความรู้สึกเปิดกว้าง ปลอดโปร่ง สวิตซ์ต่างๆ จัดเรียงตามฟังก์ชันการใช้งาน ทำให้รูปลักษณ์ของคอนโซล ดูทันสมัยเป็นระเบียบ ตำแหน่งของจอแสดงผลที่อยู่เหนือพวงมาลัย ช่วยลดการเคลื่อนไหวของสายตา ส่งผลให้การขับขี่ปลอดภัย และมีเสถียรภาพมั่นคง กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา (AWD) ใหม่ เสริมสร้างคุณค่าแห่งประสบการณ์ที่แตกต่าง ทั้งด้านความปลอดภัย และความสามารถในการขับขี่ ทำให้ได้รับประสบการณ์การขับขี่รถไฟฟ้าที่น่าประทับใจ  

[Toyota bZ4X… BEYOND ELECTRIC EXPERIENCE, TOYOTA DNA]

นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงการเปิดตัวรถรุ่นนี้ว่า “จากประสบการณ์อันยาวนานกว่า 20 ปี ที่โตโยต้าได้คิดค้น และพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานร่วมแพลตฟอร์มไฟฟ้ามาถึง 4 เจเนอเรชัน เราได้นำความรู้ที่เป็นพื้นฐานของรถ xEV ของเรา พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นทั้งแบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบควบคุมพลังงานไฟฟ้า ให้แรง มีประสิทธิภาพ ทนทาน และเชื่อถือได้มากขึ้น ตามเป้าหมาย DNA ของ TOYOTA  ทั้งนี้ bZ4X จะเป็นรถไฟฟ้า 100% ที่จะมาสร้างบรรทัดฐานใหม่ ทั้งด้านคุณภาพ (Quality) ความทนทาน (Durability) ความน่าเชื่อถือ (Reliability) รวมไปถึงความสนุกสนานในการขับขี่ (Fun to Drive) การออกแบบภายนอกภายใต้แนวคิด Hi tech & Emotion ที่เน้นความโฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ 0.279”

“ดีไซน์ห้องโดยสารแบบ Open space มอบความรู้สึกโอ่โถง ผ่อนคลายเหมือนกับอยู่ที่บ้าน ด้วยหลังคา Panoramic roof ครอบคลุมพื้นที่ผู้โดยสารทั้งด้านหน้า และด้านหลัง หน้าจอสัมผัสแบบ Full HD ขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว รองรับ AppleCarPlay และ Andriod Auto เพลิดเพลินไปกับเครื่องเสียง และลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง สะดวกสบายด้วยพอร์ต USB 5 ตำแหน่ง และที่วางแก้วน้ำมากถึง 12 จุด นั่งสบายด้วยเบาะคู่หน้าที่มาพร้อมระบบ Ventilator สามารถสั่งการเปิดแอร์ผ่านรีโมทคอนโทรลได้ในระยะกว่า 30 เมตร นอกจากนี้ ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยส่วนประกอบวัสดุรีไซเคิลของคอนโซลภายในด้วย”

“ขุมพลังของ TOYOTA bZ4X ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ  มาจากชุดมอเตอร์อิสระ 2 ชุด ให้การตอบสนอง เร่งแรงได้ดั่งใจ กำลังจากมอเตอร์หน้า 80 กิโลวัตต์ และหลัง 80 กิโลวัตต์ รวมให้กำลังสูงสุด 160 กิโลวัตต์ หรือ 218 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 337 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม ภายใน 6.9 วินาที ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ เพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ แต่เกาะถนน ดีเยี่ยม การขับขี่แบบ X-Mode ใหม่ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพ และการยึดเกาะของรถบนทุกพื้นผิวถนน ควบคุมการกระจายแรงขับที่ล้อ เบรก และคันเร่ง เพื่อใช้กับถนนลื่น และเนินเขาสูง และยังมีระบบ Regenerative Braking Mode ที่จะช่วยนำพลังงานไฟฟ้ากลับมาทุกครั้งที่ยกคันเร่ง สำหรับแบตเตอรี่ผ่านการทดสอบหลายรูปแบบ ทั้งมีขบวนการกำจัดสิ่งแปลกปลอมตลอดกระบวนการผลิต ที่สำคัญยังได้รับการปกป้องภายใต้โครงสร้างตัวรถที่ออกแบบมาอย่างแข็งแกร่ง พร้อมแผ่นรองรับกันกระแทกที่มีน็อตยึดเพิ่มความแข็งแรงมากถึง 56 จุด พร้อมฉนวนหุ้มระบบไฟฟ้าแรงดันสูงกันน้ำถึง 3 ชั้น และระบบล็อคที่ข้อต่อสายไฟ 2 ชั้น ป้องกันอย่างแน่นหนาไม่ให้น้ำรั่วซึมเข้าถึงระบบไฟฟ้าแรงดันสูงได้”

“TOYOTA bZ4X มาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐานโตโยต้าเวอร์ชันใหม่ Toyota Safety Sense 3.0 มีประสิทธิภาพตรวจจับวัตถุแม่นยำขึ้น อาทิเช่น จักรยาน มอเตอร์ไซต์ และรถที่ตัดหน้า ให้การขับขี่ที่ปลอดภัย และช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน มีระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Intelligent Parking Assist ประกอบด้วยกล้อง 4 ตัว และเซ็นเซอร์ 12 จุด ช่วยการจอดเทียบ และเข้าช่องจอดได้ง่ายขึ้น bZ4X ยังมีระบบ T-Connect by TOYOTA ที่มาพร้อม 4 ฟังก์ชันใหม่พิเศษ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมโปรแกรมสะสมคะแนน Toyota Alive-X และบริการประกันภัย ขับดี ลดให้ PHYD อีกด้วย ศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ 460 แห่ง พร้อมรองรับการบริการรถยนต์ไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว ด้วยเครื่องมือต่างๆ ตลอดจน ทีมช่างกว่า 3,500 คน และ BEV Master Technician กว่า 920 คน นอกจากนั้นในเดือนธันวาคม เราวางแผนอบรมคณาจารย์จากวิทยาลัยเทคนิคที่ร่วมโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์ (T-TEP) ทั้ง 19 สถาบัน เพื่อกระจายความรู้ให้กับนักศึกษา และชุมชน อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ขับขี่ในกรณีฉุกเฉินได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย  เรามีแผนอบรมความรู้แก่หน่วยงานต่างๆ อาทิ หน่วยงานกู้ภัย หรือตำรวจจราจร เป็นต้น”

“จากสถานการณ์การผลิตที่มีจำนวนจำกัดทั่วโลกในปัจจุบัน เราจึงจำเป็นต้องเปิดการจองให้ลูกค้าทั่วไป ผ่านช่องทาง Online เท่านั้นที่ http://stores.toyota.co.th/register/bz4x และสำหรับลูกค้าองค์กร ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก ลดการปล่อยคาร์บอน เรายินดีเสนอบริการ Full service lease โดยสามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทโดยตรง

[ประสบการณ์การซื้อรูปแบบใหม่ New Buying Experience”]

ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ได้เปลี่ยนวิธีการซื้อรถจากรูปแบบเดิม ไปสู่การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ด้วยบริการรูปแบบใหม่ที่โตโยต้าได้คิดค้น และพัฒนาขึ้น ได้แก่

KINTO บริการ Online รูปแบบใหม่ของการใช้รถยนต์โตโยต้า จากโตโยต้า ลีสซิ่ง ให้คุณได้ใช้รถ bZ4X ใหม่ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ ด้วยบริการ Online KINTO ONE “ฉลาดกว่า ไม่ต้องดาวน์ ไร้ภาระ ทางเลือกใหม่ของการใช้รถ” สมัคร และส่งเอกสารง่ายๆ ผ่านช่องทาง Online พร้อมบริการแบบครบวงจรทั้ง 3 ด้าน

1. Full Service ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในทุกการขับขี่ ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายด้วยบริการ

คุณภาพมาตราฐานจากโตโยต้า

  • ฟรี! ค่าบำรุงรักษา และเปลี่ยนอุปกรณ์วัสดุสิ้นเปลืองทุกรายการ               
  • ฟรี! บริการพิเศษช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม.
  • ฟรี! บริการรถทดแทนระหว่างซ่อม
  • ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 จากโตโยต้าแคร์
  • ฟรี! ค่าจดทะเบียน และต่อภาษีรถยนต์ประจำปี

2. One Price ตอบโจทย์ความคุ้มค่าในการใช้รถ ลูกค้าสามารถใช้รถได้อย่างคุ้มค่ากับค่าบริการ

ราคาเดียวทุกโชว์รูมทั่วประเทศ ตลอดอายุสัญญา

  • ไม่ต้องมีเงินดาวน์
  • ไม่เช็คเครดิตบูโร
  • หมดกังวลเรื่องราคาขายต่อ
  • ครบสัญญาสามารถเลือกเป็นเจ้าของรถได้ โดยผ่อนชำระในราคาใกล้เคียงเดิม 

3. Online Service ตอบโจทย์อิสระใหม่ในการใช้บริการ ด้วยบริการ Online ที่ให้ความสะดวกสบาย และรวดเร็วตั้งแต่ต้นจนจบ สมัครใช้บริการทางเว็บไซต์ www.kinto-th.com และใช้งานผ่าน KINTO Mobile application

[ประสบการณ์การใช้งานรูปแบบใหม่ New Usage Experience”]

TOYOTA bZ4X มาพร้อมบริการ T-Connect ผ่าน T-Connect Application และ 4 บริการพิเศษ

เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถ พร้อมดาวน์โหลดและใช้บริการฟรี

1. Battery remaining ระบบตรวจสอบปริมาณแบตเตอรรี่ไฟฟ้าคงเหลือ เช็คปริมาณแบตเตอรี่ไฟฟ้าคงเหลือ และลิงก์ไปยังแผนที่เพื่อค้นหาสถานีชาร์จที่อยู่ใกล้ที่สุด

2. Charging Station POIs ค้นหา/นำทางไปสถานีชาร์จ ค้นหาจุดชาร์จได้ทั่วประเทศ ใช้ง่ายบนแผนที่ของ Google map

3. SOS Roadside & Accident บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. อาทิ บริการรถสไลด์ไปยังจุดชาร์จแบตเตอรี่ที่ใกล้ที่สุด หรือไปยังศูนย์บริการโตโยต้า* พร้อมประสานงานประกันภัย รถพยาบาล หรือในกรณีรถเสีย เช่น ยางรั่ว แบตเตอรี่หมด ลืมกุญแจไว้ในรถ เป็นต้น

4. Blue line บริการสายด่วน Exclusive line เฉพาะลูกค้า bZ4X ให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้านข้อมูลรถ bZ4X ได้อย่างรวดเร็ว เช่น ข้อมูลรถ วิธีการการใช้รถ ตลอดจนปัญหาด้านเทคนิคอื่นๆ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

อุ่นใจไปตลอดการใช้งาน รถยนต์ไฟฟ้าจาก TOYOTA bZ4X ด้วยสิทธิพิเศษ

  • รับประกันแบตเตอรี่ไฟฟ้า 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน
  • แพ็กเกจขยายการรับประกันจาก 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร เป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน พร้อมฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี 10,000 – 100,000 กม.
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside service 5 ปี
  • ส่วนลด Wall Charger มูลค่า 30,000 บาท

หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

TOYOTA bZ4X AWD มีทั้งหมด 6 สี  

 สีเทา Precious Metal Black roof                           

– สีเงิน Precious Silver Black roof

– สีขาวมุก Platinum White Pearl Black roof           

– สีแดง Emotional Red Black roof

– สีน้ำเงิน Dark Blue Black roof                              

– สีดำ Black  

ภายใน 2 โทนสี 

– โทนสีเข้ม Black                                               

– โทนสีอ่อน Natural Chic

ราคา 1,836,000 บาท

****ราคาดังกล่าวเป็นราคาหลังหักส่วนลดโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ TOYOTA bZ4X

ได้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ศกนี้ เป็นต้นไป ผ่านทาง  https://stores.toyota.co.th/register/bz4x

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Toyota Contact Center 1486 เบอร์เดียวครบจบทุกเรื่อง”

สัมผัส Beyond Electric Experience กับ TOYOTA bZ4X

ได้ที่ Toyota ALIVE Space บางนา กม. 3

ตั้งแต่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป

ติดตามข้อมูลข่าวสาร และกิจกรรมเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.toyota.co.th/

ช่องทางออนไลน์ Facebook: Toyota Motor Thailand และผ่านทาง LINE ID: @ToyotaThailand