รีวิว : HYUNDAI Veloster ( ฮุนได เวโลสเตอร์ ) และ HYUNDAI Veloster Turbo ( ฮุนได เวโลสเตอร์ เทอร์โบ )กับคาราวาน HYUNDAI Veloster World Wonders 2013

บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด พาสื่อมวลชน ร่วมสร้างปรากฎการณ์สุดยิ่งใหญ่ ไปกับมหัศจรรย์ 2 + 1 โดย HYUNDAI Veloster ( ฮุนได เวโลสเตอร์ ) และ HYUNDAI Veloster Turbo ( ฮุนได เวโลสเตอร์ เทอร์โบ )กับคาราวาน HYUNDAI Veloster World Wonders 2013 กับการเดินทางข้ามประเทศของคาราวานรถสปอร์ตสุดหรูไปพบ 1 ใน 7 มหัศจรรย์ของโลก ระยะทางเกือบ 1,000 กิโลเมตร ณ ประเทศกัมพูชา

เริ่มต้นทริปแห่งความมหัศจรรย์

เริ่มต้นทริปแห่งความมหัศจรรย์ครั้งนี้กัน ณ โชว์รูมศูนย์บริการฮุนไดสำนักงานใหญ่ โดยมี HYUNDAI Veloster ในคาราวานทั้งหมด 5 คัน แบ่งเป็น 2 รุ่นคือ HYUNDAI Veloster และ HYUNDAI Veloster Turbo ซึ่งเป็นที่หมายปองของสื่อมวลชนทุกท่าน งานนี้จึงต้องวัดดวงในการจับฉลากว่าใครจะเป็นผู้โชคดีได้ขับ HYUNDAI Veloster Turbo แล้วผมก็โชคดี แต่เช้าได้เป็น 1 ใน 2 คัน ที่ได้ครอบครองขับ HYUNDAI Veloster Turbo ข้ามประเทศสร้างประวัติศาสตร์ในครั้งนี้

 

HYUNDAI Veloster

เมื่อทุกอย่างพร้อมการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น โดยเป้าหมายแรกคาราวานจะมุ่งหน้าไปที่ จังหวัดฉะเชิงเทราในระยะทางประมาณ 131 กม. ขบวนคาราวานใช้เส้นทาง Motor Way มีรถตำรวจนำขบวนตลอดเส้นทาง ผมจึงขอบรรยายตัวตนของ Veloster ให้รู้จักกันก่อน คำว่า “ Veloster ” มาจากการรวมกันของ 2 คำคือ Velocity ( ความเร็ว ) + Roadster (รถ 2 ที่นั่ง) แต่ Veloster มีความพิเศษมากกว่านั้น เนื่องจากมาในคอนเซ็ปต์ 2 +1 คือ มีประตูที่ฝั่งซ้ายเพิ่มอีก 1 ประตู เพื่อให้ง่ายกับการขึ้นลงของผู้โดยสารตอนหลัง ทำให้ความมหัศจรรย์แรกเริ่มต้นขึ้น เพราะการมีประตูบวกอีกหนึ่ง ถือเป็นคันแรกและคันเดียวของโลกในขณะนี้

 

 การออกแบบภายนอก

ส่วนการออกแบบภายนอกสะท้อนความเป็นรถสปอร์ตเต็มตัว พร้อมซ้อนความพิเศษเอาไว้มากมายจากปรัชญาการออกแบบ “Fluidic Sculpture Design” โดยอาศัยรูปทรงแนวสปอร์ต เพิ่ม Layout 2 + 1 ประตูเข้าไปเป็นความพิเศษ ความโดดเด่นต่างๆ เริ่มปรากฎโดยเติมแต่งจากกระจังหน้าแบบ Hexagonal Grille เอกลักษณ์สุดพิเศษของฮุนได ขนาบไว้ด้วยไฟหน้าดีไซน์คมกริบ ส่องสว่างด้วยโปรเจคเตอร์เลนส์ และไฟ LED ที่สะท้อนความพิเศษในรายละเอียดของโคมไฟหน้า ตัวกันชนหน้าเน้นความโฉบเฉี่ยวเส้นสายที่คมกริบ แม้แต่ช่องรับลมยังมีดีไซน์ที่เก๋คล้ายลักษณะปากของยักษ์ที่มีเขี้ยวและยังยิ้มให้ตลอดเวลา (ในรุ่น Veloster) แต่ในรุ่น Veloster Turbo ต้องการอากาศเข้ามาระบายความร้อนที่มากกว่า จึงเน้นช่องดักอากาศด้านหน้าที่กว้างมากในลักษณะหกเหลี่ยม ส่วนฝากระโปรงมีช่องระบายความร้อน ขยับมาที่ด้านข้างจะเห็นซุ้มล้อที่ใหญ่มากสร้างความดุดันให้กับตัวรถ พร้อมกระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวในตัว บนหลังคายังมีซันรูฟแบบพาโนรามิค สร้างความเป็นสปอร์ตอย่างครบถ้วน ขยับมาที่ด้านท้ายการออกแบบฝากระโปรงท้ายที่ทำงานรวมกับไฟท้าย LED จะเห็นความใส่ใจในการออกแบบทันที เพราะการเว้าฝากระโปรงท้าย ทำให้รถที่ขับมาด้านข้างของคุณสามารถที่จะเห็นไฟท้ายของคุณได้ด้วย ทำให้เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น กันชนท้ายนอกจากจะงดงามแล้ว ยังมีครีบรีดอากาศจากใต้ท้องรถ พร้อมท่อคู่กลางกันชนในสไตล์สปอร์ตราคาแพง ในส่วนภายนอกนี้ ผมเล่าจบก็มาถึงจังหวัดฉะเชิงเทราพอดี

เครื่องยนต์

หลังจากพักดื่มกาแฟกันเล็กน้อยก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ เพื่อจะข้ามชายแดนไทยกัมพูชาที่ด่านคลองลึก ระยะทางประมาณร้อยกว่ากิโลเมตร แต่หนทางเป็นทางตรงยาวๆ จึงใช้ความเร็วสูงกันแบบสุดขีด ได้ลองอัตราเร่งกันแบบจมเขี้ยว เพราะเครื่องยนต์ Veloster Turbo คันที่ผมขับเป็นตระกูล Gamma รหัส C4FJ ขนาดความจุกระบอกสูบ 1,591 ซีซี. พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแบบ Twin-Scroll ซึ่งมีช่องทางออกของไอเสีย 2 ช่อง สามารถนำไอเสียกลับมาปั่นใบเทอร์โบ เพื่อลดอาการรอรอบของเครื่องยนต์เทอร์โบได้อย่างสมบรูณ์ ระบบหัวฉีดแบบ GDI ซึ่งจะเป็นระบบหัวฉีดที่ฉีดเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และเผาไหม้อย่างหมดจดขึ้นด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับตำแหน่งหัวเทียน ระบบวาล์วแปรผันคู่ D-CVVT ให้กำลังมากถึง 186 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 265 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 4,500 รอบต่อนาที ในส่วนระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัติ 6 สปีด แบบ Torque Convertor พร้อมระบบ Sequential Shift ที่สามารถสั่งการได้ทั้งที่คันเกียร์และ Paddle Shift หลังพวงมาลัย พอขับออกมาสักพักถนนเริ่มโล่งความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยความเร็วสูงมีมาก ผมจึงเริ่มเร่งความเร็วแบบฉับพลัน อาการหลังติดเบาะสะท้อนออกมาชัดเจน ความเร็วที่ไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วไปถึง 200 กม./ชม. อย่างไม่ยาก การตอบสนองอัตราเร่งมาได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเทอร์โบเริ่มทำงานตั้งแต่รอบต่ำไปจนถึงเกือบสุดรอบกลาง ทำให้สร้างพลังแรงบิดได้หนักหน่วงต่อเนื่อง Veloster Turbo จึงสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.1 วินาที เมื่อได้สัมผัสความหนักหน่วงของแรงบิด ทำให้ตลอดการเดินทางเต็มไปด้วยความเร้าใจ เราใช้ความเร็วยืนพื้นในคาราวานประมาณ 150 กม./ชม. แต่เรื่องความปลอดภัยหายห่วง เพราะมีตำรวจเคลียร์เส้นทางให้หมดแล้ว

เดินทางข้ามแดน

เพียงไม่นานเราก็ถึงชายแดน แต่รถทุกคันในขบวนเป็น “ป้ายแดง” ครับ แล้วเราจะข้ามแดนกันยังไงล่ะ เพราะการนำรถข้ามแดนออกต่างประเทศมีกฎข้อบังคับมากมาย ที่สำคัญต้องเป็นรถที่จดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว แต่ทางบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด บอกกับผมว่าไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากได้ประสานงานทั้งฝั่งไทยและกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อย สามารถข้ามแดนแบบถูกกฎหมายทั้งสองประเทศแน่นอน ที่สำคัญใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็ผ่านไปยังกัมพูชาแบบฉลุย ถ้ามากันเองไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงแน่ๆ กว่าจะข้ามด่านได้ พอข้ามประเทศมาแล้วต้องเปลี่ยนมาขับชิดเลนขวา อาจจะซิ่งเหมือนตอนอยู่เมืองไทยไม่ได้ ระหว่างการเดินทางเสน่ห์ของสองข้างทางที่กัมพูชา คือ ท้องฟ้าที่งดงามเมฆลอยต่ำ ท้องนาที่เรียงรายอยู่ด้านซ้าย-ขวา สมัยก่อนการเดินทางจากชายแดนไทยเข้าเมืองเสียมเรียบระยะทางแค่ 150 กม. ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 7 ชม. เพราะถนนเป็นดินแดงทั้งหมด หลุมบ่ออารมณ์เดียวกับโลกพระจันทร์ แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นถนนเรียบๆ วิ่งสวนกันสองเลนการขับขี่จึงสบายขึ้นมาก ระหว่างที่ขับมองบรรยายกาศความงามริมทางสองฝั่ง ผ่านกระจกหน้า Veloster ซึ่งมีทัศนวิสัยที่ดีมาก แต่ความพิเศษของ Veloster ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะในส่วนของภายในก็โดดเด่นไม่แพ้ภายนอก ซึ่งถูกออกแบบให้ดูทรงพลัง กว้างขวาง ดีไซน์สปอร์ตอย่างเต็มตัว ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบสามก้าน ปรับได้ 4 ทิศทาง หุ้มหนังมาอย่างสวยหรู พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์ ครูสคอนโทรล และ Paddle Shift หลังพวงมาลัย ส่วนระบบการสตาร์ทก็ทำได้อย่างง่ายดายด้วย Push Start แต่ที่น่าประทับใจ คือ เบาะ Bucket Seat แบบ Sport ในคู่หน้า ผมเองขับมาในระยะทางกว่า 300 กม. ความเมื่อยล้าไม่เกิดแม้แต่น้อย อีกจุดคือ เบาะหลังครับแม้จะเป็นรถสปอร์ต แต่เบาะหลังสามารถนั่งได้อย่างสบายไม่ต่างอะไรกับซีดาน 4 ประตู ทั่วไปเลย แถมที่เก็บสัมภาระด้านท้ายยังมีมากพอที่จะใส่ถุงกอล์ฟพร้อมกระเป๋าเดินทางได้อีกครับ

 

ระบบช่วงล่าง

ระหว่างการเดินทางระบบช่วงล่างสามารถตอบสนองในเรื่องความนิ่มนวลได้เป็นอย่างดี การควบคุมที่แม่นยำสะท้อนส่งผลมายังพวงมาลัยทุกๆ โค้งที่เราขับผ่าน การทรงตัวในความเร็วสูง แม้จะอยู่ที่ความเร็ว 200 กม./ชม. ก็ยังนิ่งขับสบายๆ ไม่ต้องใส่ทักษะในการควบคุมมากมายนัก ซึ่งถือว่าเป็นสปอร์ตที่ใครๆ ก็ใช้งานได้ ไม่นานเราก็ถึงจุดหมายแรกคือ “โตนเลสาบ” ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยความยาว 150 กม. ความกว้าง 70 กม.

 

 

นั่งเรือชมวิถีชีวิตบรรยากาศริมสองข้างทาง

คาราวานของเราต้องลงจากรถมานั่งเรือกันบ้าง เพื่อชมวิถีชีวิตบรรยากาศริมสองข้างทางที่มีความต่างจากเมืองไทยมาก เนื่องจากคนที่นี่จะใช้ชีวิตบนเรือตลอดเวลา แม้กระทั่งเด็กจะไปโรงเรียนยังต้องนั่งเรือไปเรียนบนเรืออีกลำหนึ่งเลย นี่เป็นภาพแห่งความประทับใจในวันแรกก่อนที่คาราวานของเราจะกลับเข้าโรงแรมที่พัก

 

HYUNDAI Veloster Turbo

เช้าตรู่ของวันที่ 2 คงต้องวางมือจากการทดสอบรถอันหนักหน่วง ขอขับ Veloster Turbo เป็นคาราวานหล่อๆ วิ่งรอบเมืองชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกบ้าง แต่สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การไปทำบัตรเข้าชมก่อน โดยทุกท่านต้องไปถ่ายรูปทำบัตรด้วยตนเอง พร้อมจ่ายค่าบัตรต่อวันประมาณ 620 บาท จากนั้นเราได้บัตรมาพร้อมมีหน้าของเราอยู่บนบัตร ก็สามารถเข้าชมได้ทุกที่แล้ว โดยเริ่มจาก “ปราสาทบันทายศรี” ที่สร้างเพื่ออุทิศให้กับพระอิศวร ภายใต้พระนาม “ตรีภูวนมเหศวร” หรือผู้เป็นใหญ่ แห่งโลกทั้งสาม และยังมีปราสาทอีก 3 หลัง สร้างถวายแด่ พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ ภาพสลักโดยรอบปราสาทบันทายสรี จะเป็นภาพการเทิดทูลพระนารายณ์ และ พระศิวะ ภาพอุมามเหศวร ทศกัณฑ์เขย่าเขาไกรลาศ ซึ่งนับว่างดงามที่สุด จนได้รับการยกย่อง ว่าเป็น “รัตนชาติแห่งศิลปขอม” เพราะมีความอ่อนช้อย แสดงถึงฝีมือชั้นครู จนแทบไม่น่าเชื่อว่าแกะสลักมาจากหิน ซึ่งมีการสันนิษฐานว่า ใช้หินทรายสีชมพูที่เนื้อหินจะมีความเหนียวกว่าหินทรายปรกติ จึงสามารถแกะลวดลายได้ลึกว่าปกติ ทำให้ลวดลายต่างๆ มีความสลับซับซ้อน และงดงามมาก

ปราสาทตาพรม

สถานที่ต่อมาเป็น “ ปราสาทตาพรม” ที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติมาได้เกือบ 500 ปี เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นไม้ที่เกาะกุมปราสาท สะท้อนถึงสัจธรรมของธรรมชาติที่สามารถเอาชนะถาวรวัตถุที่ถูกสร้างจากมนุษย์ได้เสมอ ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 พันธุ์ ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าต้นสะปงหรือภาษาไทยเรียกว่าต้นสำโรง เป็นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รากของมันจะดูดน้ำจากใต้ดินเข้าลำต้นทำให้รากดูป่องพอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกชนิดเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตามตัวปราสาทและหลังคาลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ซึ่งการกำเนิดของไม้เลื้อยนี้มาจากการที่นกมาขับถ่าย มูลที่มีเมล็ดของพันธุ์ไม้นี้ทิ้งไว้ แต่ประโยชน์ของต้นไม้เหล่านี้ คือ ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้หักพังลงมาได้

ปราสาทบายน

ผ่านไปเพียงสองสถานที่ก็หมดไปครึ่งวันแล้ว หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ คาราวาน Veloster รีบเดินทางกันต่อเพื่อรีบไปชม “ปราสาทบายน” ลักษณะของปรางค์ปราสาทบายนทั้ง 54 ปรางค์ ถูกสลักเป็นภาพพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศ เพื่อสอดส่องดูแลความทุกข์สุขของเหล่าพสกนิกรของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่ละพระพักตร์มีรอยยิ้มที่เย็นระเรื่อนี้ เรียกว่า ยิ้มแบบบายนเปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณา นี่แหละ คือ ความมหัศจรรย์ของปราสาทแห่งนี้

มหาปิรามิดแห่งเอเซีย นครวัด – นครธม สิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลก

ในที่สุดขบวนคาราวานก็มาถึงไฮไลท์สำคัญ นั่นคือ “มหาปิรามิดแห่งเอเซีย นครวัด – นครธม สิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลก” ก่อนอื่นผมขอกล่าวถึงคำสามคำที่คล้ายๆ กันและอาจถูกนำไปใช้ปะปนกันได้ครับคือคำว่า “Agkor”,”Angkor Thom” และ “Angkor Wat” สามคำนี้หมายถึงสถานที่คนละแห่งกันครับกล่าวคือ “Angkor” หมายถึง เมืองพระนครหรือยโศธรปุระสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 โดยมีภูเขาพนมบาแค็งจุดศูนย์กลางพระองค์โปรดให้สร้างปราสาทพนมบาแค็งอยู่บนยอดเขา “Angkor Thom” หมายถึง เมืองพระนครหลวง หรือ นครธม (ธมแปลว่าใหญ่) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยมีปราสาทบายน (บรรยงค์) เป็นจุดศูนย์กลาง “Ankor Wat” หมายถึง ปราสาทนครวัดเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ตั้งอยู่นอกเมืองนครธมไปทางทิศใต้ แต่อยู่ภายในเมืองพระนคร เทวสถานแห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่ออุทิศถวายพระวิษณุ (พระนารายณ) ์ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงมีชื่อเดิมว่า “ปราสาทวิษณุโลก ” ต่อมาภายหลังมีพระสงฆ์เข้ามาพำนักอยู่ จึงเรียกกันติดปากว่า “นครวัด” ครับ

 

ปราสาทนครวัดเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุด สง่างามที่สุด มีการวางผังและการจัดลำดับองค์ประกอบได้อย่างกลมกลืน ลงตัวที่สุด ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของการสร้างปราสาทหินของชาวขอมโบราณ ความยิ่งใหญ่ของนครวัดจะเห็นได้จากปราสาทที่สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เวลาบ่ายแสงอาทิตย์มาจากทางทิศตะวันตกส่องกระทบตัวปราสาทได้เต็มที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการถ่ายรูป ไฮไลท์ของนครวัด คือ การก่อสร้างจำลองโครงสร้างจักรวาลตามคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ยอดปรางค์ 5 ยอด ตรงกลางเปรียบประหนึ่งยอดเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลและเป็นที่สถิตของบรรดาทวยเทพทั้งมวล ฐานปราสาทชั้นล่าง 3 ชั้น หมายถึง ดิน น้ำ และ ลม ซึ่งเป็นที่ตั้งเขาพระสุเมรุ ระเบียงล้อมรอบมีหลังคาซ้อนกัน 7 ชั้น หมายถึง ภูเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุเป็นรูปวงแหวน 7 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็ถูกคั่นด้วยมหาสมุทรทั้งเจ็ด คือ คูน้ำรอบปราสาทนครวัดนั่นเอง คติความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุนี้ ไทยเราก็นำมาสร้างเป็นพระเมรุมาศและพระเมรุสำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ณ ทุ่งพระเมรุ (ท้องสนามหลวง) และต่อมาก็สร้างเป็นเมรุเผาศพขึ้นตามวัดต่างๆครับ

  ปราสาทนครวัดที่ยิ่งใหญ่จนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้ ประมาณว่าใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 37 ปี คือ ตลอดรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 มีช่างควบคุมการก่อสร้าง 500 คน ใช้แรงงานถึง 1,000,000 คน พร้อมทั้งใช้ช้างลากหิน 5,000 เชือก แพบรรทุกหินจากเขาพนมกุเลน ที่อยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือกว่า 60 กิโลเมตร ล่องมาตามแม่น้ำเสียมเรียบถึง 7,000 แพ ใช้
ปริมาณหินหลายแสนลูกบาศก์เมตร คิดเป็นน้ำหนักหลายล้านตันเลยทีเดียวครับ แล้วเราจะไม่ให้ “นครวัด” เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้อย่างไร

HYUNDAI H1

วันสุดท้ายเราปรับอารมณ์มานั่ง HYUNDAI H1 กลับเมืองไทย ชมวิวทิวทัศน์ริมสองข้างทาง ซึ่งทริปนี้ผมขอเก็บภาพความทรงจำที่ดีไว้ ทั้งยนตกรรที่มหัศจรรย์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ 2+1 HYUNDAI Veloster และสิ่งมหัศจรรย์ ณ กัมพูชา พร้อมคำ “ขอบคุณ” ในใจ ที่บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้โอกาส iAMCAR ได้สัมผัสสิ่งมหัศจรรย์ที่ล้ำค่าตลอดการเดินทางครับ


บทความแนะนำ

ใหม่ Hyundai  Veloster (ฮุนได เวโลสเตอร์) ความสปอร์ตสุดเร้าใจในสไตล์ตัวถัง 2+1 พร้อมราคาเปิดตัวที่ 1.3 ล้าน (ชมคลิป)

รีวิว : The New Hyundai H-1 Elite ความคุ้มค่าของยนตรกรรม MPV

Hyundai จัดกิจกรรมพานักศึกษาเยี่ยมชมศูนย์บริการฯ เสริมสร้างทักษะความรู้